ในขณะที่อากาศบ้านเราไม่เคยเว้นว่างจากช่วงร้อน อุณหภูมิในแต่ละวันก็เอาแต่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ แสงแดดก็ดูเหมือนจะไม่หยุดทำงาน ยังคงแผดเผาเราให้ไหม้กลายเป็นฝุ่นผงได้ในไม่กี่วินาที การที่ได้อยู่ใต้ร่มเงาของ ต้นไม้ใหญ่ นับว่าเป็นสวรรค์ที่เกิดขึ้นบนดินเลยก็ว่าได้ค่ะ
นอกจาก ต้นไม้ใหญ่ จะให้ร่มเงากับเราแล้ว ต้นไม้ใหญ่ยังเป็นบ้านชั้นดีของพวกสัตว์ต่าง ๆ ตามธรรมชาติอีกด้วยค่ะ ใครที่กำลังมองหาต้นไม้ไปลงไว้ที่บ้าน my home มี 10 ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา แถมยังทนแดด ทนฝน ทนทานสภาพอากาศบ้านเราอีกด้วยค่ะ รับรองว่าถ้าปลูกต้นไม้เหล่านี้ไว้ ถึงอากาศจะรอนแรงขนาดไหนก็ไม่หวั่นอีกแล้ว
1. สาลิกาลิ้นทอง (แสงแดด: เต็มวัน)
สาลิกาลิ้นทอง จัดเป็นต้นไม้ประเภทยืนต้นกึ่งผลัดใบ ลำต้นมีความสูงประมาณ 7 เมตร เหมาะสำหรับการปลูกไว้ประดับในสวน คนไทยนิยมปลูกมากเพราะจัดว่าเป็นต้นไม้มงคล ด้วยความเชื่อที่ว่าชื่อเป็นมงคล ช่วยเสริมเสน่ห์ด้านวาจา ช่วยให้ทำมาค้าขึ้น ลักษณะลำต้นของต้นสาลิกาลิ้นทอง เปลือกของลำต้นมีสีเทา ทุก ๆ ส่วนมีน้ำยางสีขาว ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ มีลักษณะเป็นรูปไข่กลับหรือรูปช้อน ขนาดความกว้างของใบประมาณ 6 – 7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 – 9 เซนติเมตร ปลายใบค่อนข้างมนโคนใบสอบแผ่นใบแข็งหนาคล้ายแผ่นหนังด้านบนใบเห็นเส้นใบนูนขึ้น ก้านใบมีสีแดงเรื่อ ดอกของต้นสาลิกาลิ้นทองจะออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง รูปไข่กลับ ดอกมีสีขาวนวล มีผลเป็นลักษณะทรงกลมสีเขียวอมเหลือง และเมื่อแก่จัดจะเป็นสีแดงการเจิรญเติบโตค่อนข้างช้า ปลูกได้ในดินทุกประเภท ต้องการน้ำแค่ระดับปานกลาง ทนแล้งได้ดี
2. วาสนา (แสงแดด: เต็มวันหรือครึ่งวัน)
ต้นวาสนา เป็นพรรไม้ที่คนเป็นพรรณไม้ที่คนไทยรู้จักกันมานาน มีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นหลายแบบและ มีชื่อแตกต่างกันไป เช่น สายสะพายจอมพล วาสนาเรือนนอก และวาสนาอธิษฐาน ซึ่งนับว่าเป็นชนิดเดียวกัน ต้นวาสนาจัดเป็นไม้ยืนต้นมีความสูงประมาณ 2 – 7 เมตร ลักษณะลำต้นแก่จะมีสีน้ำตาลอ่อนสามารถมองเห็นข้อปล้องได้อย่างชัดเจน ใบของต้นวาสนาเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับกันใบเป็นลักษณะรูปแถบมีความกว้างประมาณ 5 – 8 เซนติเมตร มีความยาว 30 – 50 เซนติเมตร ปลายใบแหลมแผ่นใบโค้งลง มีสีเขียวเป็นมัน ก้านใบเป็นกาบหุ้มติดกับลำต้น ดอกของต้นวาสนาออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ห้อยยาวได้ถึง 60 เซนติเมตร กลีบดอกด้านนอกสีน้ำตาลเรื่อ ด้านในสีขาวทยอยบานและส่งกลิ่นหอมในเวลากลางคืน ต้นวาสนาออกดอกในฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศเย็น อัตราการเติบโตปานกลาง สามารถปลูกลงดินได้ทุกประเภท ต้องการน้ำปานกลาง
3. เหลืองปรีดียาธร (แสงแดด: เต็มวัน)
ต้นเหลืองปรีดียาธร เป็นต้นไม้ขนาดเล็กประเภทไม้ผลัดใบ มีความสูงอยู่ที่ 8 – 10 เมตร ลักษณะทรงพุ่มเป็นยอดรูปไข่ แตกกิ่งก้านใบเป็นชั้นๆ ลักษณะของลำต้นมีเปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่อง ลักษณะของต้นเหลืองปรีดียาธรใบประกอบรูปนิ้วมือมีใบย่อยประมาณ 5 – 7 ใบ รูปใบค่อนข้างรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบมนหรือสอบ ใบเหลือบสีเงินทั้งสองด้าน มีดอกสีเหลือง จะออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่นที่ปลายกิ่งประมาณ 7 – 15 ดอก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 กลีบ ต้นเหลืองปรีดียาธรจะออกดอกช่วงเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม มีฝักสีเทา เจริญเติบโตได้ปานกลาง ควรปลูกในดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี ต้องการน้ำปานกลางสามารถทนแล้งได้ดี
4. ขนุน (แสงแดด: ตลอดวัน)
ต้นขนุนเป็นต้นไม้ยืนต้น ความสูงอยูที่ 8 – 15 เมตร คนไทยโบราณนิยมปลูกขนุนไว้หลังบ้านทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีคนช่วยเหลือสนับสนุนตลอดเวลา ทรงพุ่มของต้นขนุนมีลักษณะเรือนยอดรูปไข่ ทรงพุ่มแน่นทึบ ลำต้นมีเปลือกต้นเรียบสีน้ำตาล ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว ลักษณะใบของต้นขนุนเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับกันรูปใบค่อนข้างกลมแกมรูปรี มีความกว้างประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร มีความยาวยาว 8 – 10 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบแผ่นใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมัน ออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่นมีดอกเล็ก ๆ ที่อัดกันแน่นบนแกนช่อดอก ช่อดอกแยกเพศร่วมต้น ลักษณะผลขนุนรวมทรงกลมหรือรี สีเขียวอมเหลืองมีขนาดใหญ่ มีหนามสั้น ๆ เป็นตุ่มขรุขระ ส่วนที่นำมารับประทานคือส่วนหนึ่งของวงกลีบรวม เมื่อสุกมีกลิ่นแรง รสหวาน อัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างช้า สามารถปลูกได้ในดินทุกประเภท ทนดินเค็มได้ดี ทนแล้งได้ดี
5. กาสะลองคำ (แสงแดด: แสงแดดเต็มวัน)
ต้นกาสะลองคำ เป็นต้นไม้ที่ไม่ค่อยให้ร่มเงามากนัก เหมาะสำหรับปลูกริมสระน้ำหรือริมถนน คนทางภาคเหนือนิยมนำดอกไปทอดหรือลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก บางคนอาจจะเรียกต้นสาลิกาว่าบีบทอง กาสะลองคำเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 6 – 15 เมตร ทรงพุ่มของต้นกาสะลองคำเป็นเรือนยอดรูปไข่แคบและโปร่ง ลำต้นกาสะลองคำค่อนข้างโปร่งและตรง เปลือกของต้นมีสีน้ำตาลเทา หรือน้ำตาลเข้ม ลักษณะค่อนข้างเรียบ บางต้นก็แตกเป็นสะเก็ด ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ปลายคี่ มีใบย่อย 2 – 5 คู่ ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ ดอกกาสะลองคำแบบช่อกระจะสั้นออกตามลำต้นและกิ่ง 5 – 10 ดอก ช่อดอกมีขนสั้นนุ่ม กลีบเลี้ยงรูปถ้วย สีม่วงแดง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูประฆัง มีสีเหลืองอมส้ม ออกดอกในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน ผลกาสะลองคำเป็นฝักกลมยาวประมาณ 40 เซ็นติเมตร เมื่อผลเริ่มแก่จะแตกเป็น 2 ซีก ภายในฝักมีเมล็ดที่มีปีกเป็นจำนวนมาก เติบโตค่อนข้างช้า ปลูกได้ในดินทั่วไป ต้องการความชื้นปานกลางถึงสูง