ปลูก ต้นไม้ในอาคาร อย่างไรให้รอด
การปลูก ต้นไม้ในอาคาร เริ่มเป็นที่นิยมและแพร่หลายกันมากขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า สำนักงาน ร้านอาหาร อาคาร หรือที่พักอาศัยต่างๆ เพื่อดึงธรรมชาติเข้าหาตัว ทดแทนพื้นที่สีเขียวที่ค่อยๆลดลงไปทุกที รวมถึงเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้บริเวณนั้นด้วย
เราสามารถจัดสวนกระถางที่ประดับในอาคารให้สวยได้ไม่แพ้สวนที่ปลูกต้นไม้ลงดินในพื้นที่กลางแจ้ง คุณอาจเลือกกระถางใหญ่ที่ปลูกไม้พุ่มรวมกันได้หลายชนิด หรือจัดวางให้ดูเป็นธรรมชาติด้วยการเล่นระดับสูง – ต่ำ เพียงเท่านี้ก็มีพื้นที่สีเขียวไว้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจแล้วล่ะครับ แต่ด้วยสภาพแสง อุณหภูมิ และความชื้นที่แตกต่างกับการจัดสวนกลางแจ้ง เว็บไซต์บ้านและสวน จึงหยิบคอลัมน์ “เกร็ดสวน” จากนิตยสารบ้านและสวนฉบับเดือนกรกฎาคม 2560 มาบอกเล่าครับ มีเทคนิคอย่างไรไปดูกัน
เลือกขนาดกระถางให้เหมาะกับต้นไม้
การปลูก ต้นไม้ในอาคาร ควรคำนึงถึงการเลือกภาชนะปลูกต้นไม้ที่มีขนาดเหมาะสมกับพืชที่จะนำมาปลูก หากภาชนะที่ใช้เล็กเกินไปอาจทำให้รากเบียดกันแน่นในกระถาง จนทำให้ต้นไม้แคระแกร็นหรือเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก ซึ่งขนาดของกระถางโดยทั่วไปจะใช้ ตั้งแต่ 6, 8 ,10 จนถึง 12 นิ้ว เริ่มปลูกต้นเล็กในกระถางขนาดเล็กก่อน รอจนต้นโตจึงค่อยเปลี่ยนขนาดกระถางตามลำดับ หากใช้กระถางใบใหญ่เกินไปก็จะทำให้สูญเสียธาตุอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นไม้ประดับที่อยู่ในกระถางจึงเน้นความสวยงามเป็นหลัก จะเลือกปลูกต้นเดียวในหนึ่งกระถางเพื่อให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ฟอร์มตามที่ต้องการ หรือปลูกไม้พุ่มเล็กหลายๆต้นรวมกับไม้ลำต้นเดี่ยวตั้งตรงในกระถางใบเดียวก็ดูสวยงามไม้แพ้กัน
อ่านต่อ : เลือกต้นไม้สำหรับปลูกในอาคาร
ให้น้ำตามความต้องการพืช
ต้นไม้จำเป็นต้องได้รับน้ำอย่างเพียงพอในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโต สำหรับไม้ในอาคารควรรดน้ำให้ดินพอชุ่มชื้น ระวังอย่าให้เปียกหรือเฉอะแฉะจนเกินไป ยกเว้นพืชบางชนิดที่ต้องการน้ำน้อย เช่น ซัคคิวเลนท์ อากาเว่ ฮาเวอร์เทีย สภาพแวดล้อมภายในอาคารอาจส่งผลให้การระเหยหรือคายน้ำของพืชช้ากว่าการปลูกในสภาพแวดล้อมปกติ ถ้าหากปล่อยให้ดินมีน้ำขังนานๆอาจส่งผลให้รากขาดอากาศหายใจ พืชจึงอ่อนแอต่อโรคและแมลง เป็นเหตุให้เกิดอาการรากเน่า โคนเน่า และตายในที่สุด สิ่งสำคัญคือการเลือกใช้กลุ่มพรรณไม้ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อม เพื่อง่ายต่อการดูแล ส่วนปริมาณการให้น้ำนั้นมีปัจจัยประกอบหลายอย่าง ทั้งความต้องการน้ำของพืชแต่ละชนิด การดูดซับน้ำของวัสดุปลูก การระบายน้ำของวัสดุปลูกและภาชนะ ความชื้นในอากาศ และอุณหภูมิในแต่ละวัน
TIPS
สัญญาณเหล่านี้บอกให้คุณรู้ว่าพืชกำลังขาดน้ำ ถ้าปล่อยไว้นานอาจยากเกินเยียวยา
- ใบเจริญเติบโตช้า
- ใบจะเริ่มบางและโปร่งแสง
- ใบหรือดอกค่อยๆร่วงโรย
- ขอบใบเหลืองหรือเป็นสีน้ำตาล
- ใบที่อยู่ล่างๆจะหงิกและเหลือง
ดินดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
การปลูกพืชในกระถาง รากพืชจะถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่เฉพาะภายในกระถางเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ดินหรือวัสดุปลูกจะต้องมีคุณสมบัติ ดินโปร่งร่วน น้ำหนักเบา ระบายน้ำได้ดี อากาศถ่ายเทได้สะดวก ดูดซับน้ำ มีธาตุอาหารที่พืชต้องการสมบูรณ์ ไม่มีความเป็นกรดเป็นด่างมากเกินไป แน่นพอที่จะยึดให้ลำต้นทรงตัวอยู่ได้ และไม่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อรากพืชเจือปนอยู่
รับแสงจากริมหน้าต่าง
แสงเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อพืชเป็นอย่างมากเพื่อนำไปใช้ในการสังเคราะห์แสง ซึ่งจะได้แป้งและน้ำตาลมาใช้ในการดำรงชีวิต พืชแต่ละชนิดต้องการแสงไม่เท่ากัน สังเกตได้จากพืชชนิดใดที่มีใบสีเขียวมาก จะสังเคราะห์แสงได้มากกว่าพืชทีมีใบสีเขียวน้อยหรือสีอื่นที่ไม่ใช่สีเขียว โดยแบ่งความต้องการแสงของพืชออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ต้องการแสงน้อย กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นไม้ประดับในร่มที่ปลูกในบ้านหรือภายในอาคาร สำนักงาน ที่มีแสงแดดน้อย ได้แก่ หน้าวัว ลิ้นมังกร พลูด่าง แก้วหน้าม้า หน้าวัว จั๋ง เขียวหมื่นปี แอฟริกันไวโอเล็ต บอนสี เงินไหล เปเปอโรเมีย ฟิโลเดนดรอน ปาล์มไผ่
กลุ่มที่ต้องการแสงปานกลาง กลุ่มนี้ต้องปลูกประดับไว้ในห้องตั้งใกล้ๆกับหน้าต่าง ประตู หรือระเบียงที่แดดส่องถึง โดยเฉพาะในตอนเช้าและตอนบ่าย เช่น ปริก เศรษฐีไซ่ง่อน หนวดปลาหมึกแคระ อากาเว่ สนฉัตร ฤๅษีผสม
กลุ่มที่ต้องการแสงมาก พืชในกลุ่มนี้จัดเป็นพืชกลางแจ้งที่นิยมปลูกไว้นอกอาคาร หรือปลูกตามสนามหญ้า ต้องการแสงแดดจัดตลอดทั้งวัน เช่น โกสน เล็บครุฑ หมากเหลือง หมากแดง วาสนา
อ่านต่อ : ต้นไม้ในบ้าน GARDEN IN HOUSE
เรื่อง : “อิสรา”
ภาพ : คลังภาพบ้านและสวน