บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) รุกสร้างโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนตอกย้ำความเป็นผู้นําเครื่องดื่มครบวงจร และขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง DJSI World มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) จัดแถลงข่าวผลการดำเนินงาน และทิศทางธุรกิจที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมโชว์ศักยภาพความแข็งแกร่งและการลงทุน ขยายเครือข่ายเชื่อมโยงทุกมิติ ตอกย้ำความเป็นผู้นําธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน และการก้าวสู่ผู้นําระดับโลก นําโดยแม่ทัพใหญ่ คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ พร้อมด้วย คุณประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจําหน่าย คุณโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ประเทศไทย และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง มร. เบนเนท เนียว กรรมการผู้อํานวยการ บริษัทไซ่ง่อนเบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ จ๊อยซ์สต็อก คอร์ปอเรชั่น (ซาเบโก้) มร. ลี เม็ง ตัท ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และกรรมการผู้อํานวยการ ธุรกิจ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (เอฟแอนด์เอ็น) มร. เลสเตอร์ เด็ก ชวน ตัน ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮออล์ ประเทศไทย คุณนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหารประเทศไทย มร. เอ็ดมอนด์ เนียว คิม ซูน รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารการลงทุนตราสินค้า และ ดร. เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล ณ โรงแรม แบงค็อก แมริออท มาคีส์ ควีนส์ปาร์ค (สุขุมวิท 22) เมื่อบ่ายวานนี้ (3 ตุลาคม 2561)
คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) และ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจเบียร์ เผยว่า “ปีที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งปีของความภาคภูมิใจ ที่ไทยเบฟได้รวมธุรกิจเบียร์ อันดับหนึ่งของประเทศเวียดนาม และสุราอันดับหนึ่งของประเทศเมียนมา เข้ามาอยู่ในกลุ่มบริษัทของเรา ทั้ง 2 ประเทศเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุด ภูมิภาคหนึ่งของโลก เข้ามาอยู่ในกลุ่มบริษัทของเรา ผลงานในปีที่ผ่านมาเป็นการตอกย้ําความสําเร็จอันเป็นอีกก้าว สําคัญที่จะบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ 2020 ซึ่งเราได้ทุ่มเททรัพยากรในการพัฒนาธุรกิจด้วยกลยุทธ์หลัก 5 ด้าน ของเราที่กําหนดไว้ใน วิสัยทัศน์ 2020 ซึ่งเป็นแผนดําเนินการระยะ 6 ปี ที่ได้เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 โดยกลยุทธ์ทั้ง 5 ประกอบด้วย Growth คือการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ Diversity ความหลากหลายของสินค้า และตลาด Brand การมีตราสินค้าที่โดนใจ Reach การกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง Professionalism ความเป็นมือ อาชีพด้วยการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร และผลักดันศักยภาพของพวกเราทุกคน เรามั่นใจในความพร้อม อย่างครบถ้วนทั้งเรื่องคน เรื่องทุน และสินค้า”
“ผมเชื่อมั่นว่าในปีหน้าที่จะถึงนี้ ไทยเบฟมีความพร้อมที่จะทุ่มเทศักยภาพที่มีอยู่ในทุกด้าน ในการสร้างความ เติบโตอย่างต่อเนื่อง อันจะเห็นได้ว่าเครือข่ายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนซองไทยเบฟ สามารถรวมพลังเพื่อสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงผู้บริโภคของไทยเบฟทุกท่าน ในการขยายธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟ เราก้าวหน้าไปอย่างรอบคอบระมัดระวัง ทําให้เราได้รับรางวัลความยั่งยืน DJSI World ซึ่งวัดความยั่งยืน 3 ด้าน คือความยั่งยืนด้านเศรษฐกิจ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนด้าน สังคม โดยปีนี้ ไทยเบฟ ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets หรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เป็นปีที่ 3 และยังตอกย้ำความเป็นผู้นําในอุตสาหกรรมด้วย การถูกคัดเลือกขึ้นมาเป็นที่ 1 ของโลก ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ถือเป็นความสําเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของไทยเบฟ และสะท้อนให้เห็นว่าไทยเบฟ มุ่งมั่นเพื่อการบรรลุวิสัยทัศน์ และพันธกิจขององค์กรที่มุ่งสู่การเป็นผู้นําทางด้าน เครื่องดื่มครบวงจรของอาเซียน พร้อมจะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นําในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ที่ใส่ใจด้านการพัฒนา อย่างยั่งยืนในระดับโลก ไทยเบฟ ได้ก้าวเข้าสู่เป้าหมายความสําเร็จที่ตั้งไว้ในวิสัยทัศน์ 2020 อย่างชัดเจน และ พร้อมที่จะเดินหน้ารุกเต็มกําลัง เพื่อครองความเป็นผู้นําธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรของภูมิภาคอาเซียนได้อย่างยั่งยืน”
คุณประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจําหน่าย กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจสุราในประเทศไทยถือว่า สามารถทําได้ดีเมื่อเทียบกับในสถานการณ์ปัจจุบัน และเรายังสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ได้ดี อีกด้วย ในขณะเดียวกันเรามีการพัฒนาสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดสุราพร้อมดื่ม สําหรับผู้บริโภคกลุ่มใหม่ เช่น สตาร์ คูลเลอร์ และคูลอฟ แมกซ์ เซเว่น นอกจากนี้เราได้มีการส่งออกสุรารวงข้าวชิลเวอร์ ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ ไปยังประเทศเวียดนาม และเกาหลีใต้ ถือเป็นการยกระดับสินค้าตรารวงข้าว ซึ่งเป็นสุรายี่ห้อแรกของประเทศ ไทยเข้าสู่ตลาดต่างประเทศอีกด้วย โดยในส่วนของตลาดต่างประเทศ เราได้มีการเข้าลงทุน 75% ในกลุ่ม Grand Royal Group ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจําหน่ายสุรา Grand Royal Whisky ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ หนึ่งของประเทศเมียนมาร์ และล่าสุดเรายังได้เข้าร่วมลงทุน 51% ในกลุ่ม Asiaeuro International Beverage ซึ่งเป็นบริษัทจัดจําหน่ายสินค้าเครื่องดื่มต่าง ๆ โดยเฉพาะสุราพรีเมียมจากประเทศสก็อตแลนด์ และฝรั่งเศส อีกด้วย”
มร.เอ็ดมอนด์ เนียว คิมซูน รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารการลงทุนตราสินค้า ซึ่งดูแลกลุ่มธุรกิจเบียร์ในปีที่ผ่านมา กล่าวว่า “ภารกิจของกลุ่มธุรกิจเบียร์ยังดําเนินการสอดคล้องภายใต้ Vision 2020 ในด้านของแบรนด์ช้างเอง เราได้เพิ่มความแข็งแกร่งในการสร้างแบรนด์มากขึ้น ผ่านปรัชญาที่ว่าด้วย ความ “ละเมียด” ที่เราใส่ใจในรายละเอียดทุก ๆ ขั้นตอนการผลิต กลั่นกรองเอาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค ทั้งด้าน ของตัวผลิตภัณฑ์และกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย เพื่อที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ เรายังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบรับกับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ในทุกปี ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เราเปิดตัวในปีที่ผ่านมาคือ แทปเปอร์ (Tapper) เบียร์แอลกอฮอล์สูง ที่ได้รับการตอบ รับเป็นอย่างดี และเรากําลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง เฟเดอร์บรอย ไวส์เบียร์ (Federbräu Weissbier) พรีเมียมสไตล์เยอรมัน รวมถึงกิจกรรมการตลาดที่จะมาสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคของเราในเร็วๆ นี้ ซึ่งถือว่า ธุรกิจเบียร์ของเราขยายตัวได้อย่างรวดเร็วมาก โดยในปีหน้านี้ผมยังได้รับการปรับตําแหน่งให้มาช่วยดูแลเรื่องการลงทุนตราสินค้าต่างๆ ของไทยเบฟ โดยมีคุณฐาปน ที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มธุรกิจเบียร์ด้วยตนเอง และคุณโฆษิต สุขสิงห์ จะมาเป็นผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจเบียร์ประเทศไทย”
มร.เบนเนท เนียว กรรมการผู้อํานวยการ บริษัทไซ่ง่อนเบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ จ๊อยซ์สต๊อก คอร์ปอเรชั่น (ซาเบโก้) กล่าวว่า “ปี 2561 เป็นอีก 1 ปีที่สําคัญในประวัติศาสตร์การดําเนินธุรกิจของซาเบโก้ เพราะการดําเนินการรวมกลุ่มธุรกิจกับไทยเบฟกรุ๊ปประสบความสําเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ทําให้กลุ่มธุรกิจเบียร์ ซาเบโก้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว และวัฒนธรรมการดื่มเบียร์ที่แข็งแรง พร้อมสนับสนุนในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ 2020 ของไทยเบฟ เราเชื่อว่าธุรกิจของเราจะยิ่งแข็งแกร่ง เพราะมีตราสินค้าที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่าง ไซง่อนเบียร์ อีกทั้งเรายังมีทีมกรรมการ และผู้บริหารที่เต็มไปด้วยความสามารถพร้อมที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาและขยายการดําเนินธุรกิจอย่างรวดเร็วต่อไป”
มร. ลี เม็ง ตัท ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และกรรมการผู้อํานวยการ ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (เอฟแอนด์เอ็น) พร้อมด้วย มร. เลสเตอร์ เด็ก ชวน ต้น ผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮออล์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า “แม้ปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีการแข่งขันสูง แต่กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของ ไทยเบฟเวอเรจยังสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีในตลาดที่ดําเนินธุรกิจ และเพื่อบรรลุเป้าหมายวิสัยทัศน์ 2020 เราได้เน้นการดําเนินงานใน 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) ขับเคลื่อนตลาดด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอกย้ํา ความเป็นผู้นําและสร้างความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ในเครือ โดยมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกปีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน 2) ขยายช่องทางการ ดําเนินธุรกิจและผลักดันสินค้าออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสให้กับกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ของไทยเบฟเวอเรจในภาพรวม
คุณนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า “กลุ่มธุรกิจอาหารเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มบริษัทไทยเบฟ แม้ในปีที่ผ่านมา ต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งด้านการแข่งขันในตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา แต่เราก็สามารถขับเคลื่อนธุรกิจอาหารให้เดินหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง ทั้งในกลุ่มโออิชิ ที่สามารถรักษา ตําแหน่งผู้นําด้านธุรกิจอาหารญี่ปุ่นไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และยังเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน เรายังได้ทําการซื้อกิจการร้านเคเอฟซี ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านอาหารที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในประเทศไทย จํานวน 252 สาขา ในนามบริษัท The QSR of Asia รวมทั้งการร่วมลงทุน 7696 ในกลุ่มร้านอาหารไทย Spice of Asia ภายใต้การบริหารที่เน้นประสิทธิภาพและกลยุทธ์การสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและแตกต่าง จึงส่งผลให้เราเติบโตแบบ ก้าวกระโดด ขึ้นแท่นหนึ่งในผู้นําธุรกิจอาหารในประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่การเติบโตตามเป้าหมายวิสัยทัศน์ 2020”
คุณโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย และ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง ให้ข้อมูลว่า “ในปีที่ผ่านมาของกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง โครงการพัฒนาระบบการขนส่ง สินค้าและการบริหารจัดการทางด้านซัพพลายเชนของบริษัทภายใต้วิสัยทัศน์ 2020 มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากเน ปี 2561 โดยบริษัทสามารถเปิดศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาคตามตําแหน่งยุทธศาสตร์ได้ตามแผนงาน พร้อมทั้ง ยังได้ มีการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความชํานาญทางบริหารจัดการทางด้าน cold chain ในระดับโลก ดําเนินการพัฒนา โครงข่ายการกระจายสินค้าทางด้าน cold chain เพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอาหารของบริษัท นอกจากนี้ ยังสามารถนําเทคโนโลยีที่บริษัทได้ดําเนินการพัฒนาในช่วงที่ผ่านมา มาขยายผลและต่อยอดให้กับพันธมิตรและคู่ค้า ของบริษัทเพื่อประโยชน์ที่สูงสุด โดยมีโครงการ digital transformation เป็นแกนกลางในการผลักดันศักยภาพของ พนักงานและคู่ค้าให้เข้าถึงและสามารถที่จะนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่าง ยังยืน ตอกย้ําความเป็นผู้นําในการบริหารจัดการโลจิสติกอย่างครบวงจร ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค และ ในปีหน้านี้ผมได้รับโอกาสที่ดีกับความรับผิดชอบใหม่เพิ่มเติม ที่จะมาดูแลธุรกิจเบียร์ในประเทศไทย เป็นหน้าที่ เพิ่มเติมที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก”
ดร. เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล ให้ข้อมูล ว่า “จากการเดินทางสู่วิสัยทัศน์ 2020 ไทยเบฟมุ่งหวังที่จะเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนําของอาเซียน ด้วยคํามั่นสัญญาที่ ให้กับพนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องคือ โอกาสที่ไร้ขีดจํากัด หรือ Limitless Opportunities ทั้งด้านการเติบโตในสาย อาชีพ การสรรสร้างความสัมพันธ์ และการสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อสังคม หนึ่งปีที่ผ่านมา จํานวนของพนักงาน ภายใต้กลุ่มไทยเบฟเพิ่มจากประมาณ 43,000 คน เป็นประมาณ 59,000 คน จากกิจการที่ขยายทั้งในไทย เวียดนาม และเมียนมา นอกจากนี้ไทยเบฟได้รับรางวัลสําคัญในเวทีนานาชาติ Asia Best Employer Brand Awards 2018 ที่สิงค์โปร์ 3 รางวัล คือ Best Employer Brand Dream Employer of the Year และ Award for Talent Management ซึ่งสอดคล้องกับการได้ 100 คะแนนเต็มด้าน Human Capital Development ในการประเมิน DIS Sustainability index 2018 ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยการผสานพลังอย่างทุ่มเท ของทีมงาน ผู้บริหาร และพนักงาน ไทยเบฟจะเดินหน้าต่อไป เพื่อสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ของคน ให้เป็นบริษัทที่ คนไทยและอาเซียนภาคภูมิใจครับ”
ทั้งหมดนี้ คือศักยภาพความพร้อมสูงสุดของกลุ่มธุรกิจไทยเบฟ ที่จะขับเคลื่อนให้บรรลุไปตามเป้าหมาย ในช่วงโค้งสุดท้ายของ 2 ปี หลัง เพื่อเตรียมก้าวข้าม Vision 2020 สู่ผู้นําแห่งธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรระดับ โลกต่อไป