วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ
PM 2.5 กับการแก้ปัญหาในบ้าน : วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ
เป็นที่รู้กันดีว่า เครื่องฟอกอากาศ เป็นตัวช่วยสำคัญที่ช่วยตรวจจับฝุ่น PM 2.5 ที่เห็นผลได้ชัดเจนที่สุดในตอนนี้ แม้ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็เป็นการป้องกันสุขภาพที่ควรได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก ซึ่ง วิธีเลือกเครื่องฟอก อากาศที่ดีและมีประสิทธิภาพมาใช้งานในบ้าน มีหลักในการพิจารณาง่ายๆ ดังนี้
1.ขนาดพื้นที่ห้อง
2.ระบบกรองอากาศหรือไส้กรอง
ระบบกรองอากาศเปรียบเสมือนหัวใจของเครื่องฟอกอากาศ ไม่ว่าจะเป็นระบบกรองอากาศแบบ HEPA ที่สามารถดักจับอนุภาคที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน ช่วยให้อากาศภายในบ้านสะอาดสดชื่น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ หรือระบบกรองอากาศที่ใช้การปล่อยประจุลบออกมาจับฝุ่นละอองหรืออนุภาคขนาดเล็กที่เป็นประจุบวกให้ตกลงสู่พื้น ไม่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ
ดังนั้นให้พิจารณาคุณสมบัติของระบบกรองแบบใดที่ตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของเรา รวมถึงฟังก์ชันเสริมต่างๆ ว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด เช่น การแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนไส้กรอง หรือตรวจสอบการทำงานและสั่งงานผ่านแอพพิเคชันได้ เพราะสิ่งที่กล่าวมานี้มีผลทำให้เครื่องฟอกอากาศมีราคาแตกต่างกันพอสมควร
3.ค่า CADR
CADR (Clean Air Delivery Rate) หรือ ค่าตัวเลขที่ได้จากการวัดปริมาณอากาศที่ระบบฟอกอากาศ สามารถทำความสะอาดอากาศที่ปนเปื้อน เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง หรือละอองเกสรดอกไม้ได้ในช่วงเวลาหนึ่งนาที โดยค่า CADR นี้ ตัวเลขยิ่งมากเท่าใด แสดงว่าประสิทธิภาพการกรองยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ซึ่งค่านี้จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หากเครื่องฟอกอากาศที่ต้องการซื้อมีการใช้แผ่นกรองที่มีคุณภาพเท่าๆกัน เราก็สามารถดูค่า CADR ได้จากข้อมูลผลิตภัณฑ์หรือคู่มือการใช้งานของเครื่องฟอกอากาศ
4.ค่า Airflow หรือ Air Volume
Airflow หรือค่าความเร็วลมจากปริมาณของอากาศที่ถูกดูดและปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาจากเครื่องฟอกอากาศ หากตัวเลขค่า Airflow ยิ่งมาก ก็หมายความว่า เครื่องฟอกอากาศรุ่นนั้นมีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เราสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เร็วยิ่งขึ้น โดยเราสามารถดูค่า Airflow ได้จากข้อมูลพื้นฐานของตัวเครื่อง ดังนั้นถ้าต้องใช้เครื่องฟอกอากาศกับห้องใหญ่ และอยากให้ฟอกอากาศได้เร็วๆ ควรพิจารณาค่านี้เป็นกรณีพิเศษ
5.ระดับเสียง
เสียงของเครื่องฟอกอากาศที่ดังจากการปรับระดับแรงลมนั้นคงไม่ใช่ปัญหา ถ้าเราวางเครื่องไว้ในห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น แต่ถ้าต้องวางไว้ในห้องนอน แนะนำให้มองหาเครื่องฟอกอากาศที่มีระดับเสียงต่ำขณะทำงาน (ยิ่งเงียบยิ่งดี) โดยระดับเสียงที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 30-35 เดซิเบล จะได้ไม่รบกวนการนอนหลับ