นับจากวันที่เริ่มต้นมาเชียงใหม่ ก่อตั้งมูลนิธิสื่อภาษาด้วยเสียง เมื่อปี พ.ศ. 2545 เพื่อทำงานสำรวจศึกษาภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายของคนไทย เพราะ คุณจอนและคุณแคลร์ รูลิสัน เห็นว่าภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งบอกอัตลักษณ์ของพื้นถิ่น และกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งคู่สร้างบ้านดินอยู่ที่เชียงใหม่เพราะชื่นชอบความเป็นธรรมชาติที่เรียบง่าย
เจ้าของ : ครอบครัวรูลิสัน
ออกแบบ : Chiangmai Life Construction โดยคุณมาร์คูส โรเซลีบ
ในขณะที่ความทันสมัยเข้ามาอย่างรวดเร็ว มีอิทธิพลอย่างมากให้คนไทยเริ่มละเลยไม่สนใจที่จะอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมของตัวเอง คุณจอนจึงมีโครงการบันทึกเสียงด้วยภาษา เล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมไทยไปพร้อมๆ กับการสอนภาษาอังกฤษให้เพื่อนบ้านและคนไทยในเชียงใหม่ที่สนใจ พร้อมกับพูดคุยถึงวัฒนธรรมที่มีค่าของไทย 20 ปีแล้วที่คุณจอนและคุณแคลร์ตัดสินใจสร้าง บ้านดิน อยู่ที่เชียงใหม่ เพราะความชอบในธรรมชาติ
“เราอยู่ที่นี่มานานมาก ตั้งแต่ตอนนั้น บรุ๊ค ลูกสาวคนโต อายุ 5 ขวบ และฟอเรสต์ ลูกชายคนเล็กอายุ 3 ขวบ เราไปเที่ยวธรรมชาติด้วยกันทั้งครอบครัว ปีนเขา เที่ยวถ้ำ ศึกษาชีวิตในธรรมชาติ มีชีวิตที่เรียบง่าย เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมเนียมวัฒนธรรมไทย ลูกทั้งสองคนไปโรงเรียนวารีเชียงใหม่อินเตอร์เนชั่นแนลตั้งแต่เตรียมอนุบาลถึงประถมปีที่ 3 แล้วฉันก็สอนลูกเองที่บ้านจนจบมัธยม บรุ๊คไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกา และเมื่อสองปีก่อนลูกชายก็เพิ่งตามไป แต่ก่อนฟอเรสต์จะไปเรียนเมืองนอก พวกเราเริ่มต้นสนใจที่จะสร้างบ้านแล้ว
“เพื่อนคนไทยแนะนำว่ารู้จักบ้านดินไหม น่าสนใจมากนะ ฉัน จอน กับฟอเรสต์ ก็เริ่มศึกษาซื้อหนังสือเยอะมาก เริ่มวางแปลนบ้านกับลูก ปั้นดินน้ำมันเป็นโครงบ้านคร่าวๆ ว่าบ้านควรเป็นรูปทรงไหน มีห้องอะไรบ้าง เท่าที่จำเป็น ทำประตู-หน้าต่างจากดินน้ำมัน ใช้เชือกกำหนดพื้นที่ ที่ดินบ้านเรามี 1 ไร่ 1 งาน พื้นที่ใช้สอยในบ้านประมาณ 312 ตารางเมตร เราวางตำแหน่งบ้านและใส่ห้องต่างๆที่เราใช้งาน มี 3 ห้องนอนกับห้องน้ำในตัว เป็นห้องน้ำแบบเอ๊าต์ดอร์ มีห้องรับแขกและห้องครัวอยู่ด้วยกัน มีห้องน้ำอีกห้องสำหรับแขกและมีบ้านหลังเล็กที่เพื่อนบ้านช่วยกันสร้างด้วยอิฐโบราณ เป็นห้องน้ำเล็กๆ แบ่งอีกส่วนหนึ่งเป็นห้องซักผ้าอบผ้า”
คุณแคลร์เล่าต่ออีกว่า “เมื่อได้รู้จักบริษัท Chiangmai Life Construction หรือ CLC บ้านในฝันของครอบครัวเราก็กลายเป็นความจริง การได้รู้จักบริษัทนี้ถือว่าเป็นความโชคดี คุณมาร์คูส โรเซลีบ และทีมงาน CLC แนะนำเราได้มาก เราให้เขาดูโมเดลดินน้ำมัน จากนั้นเขาก็นำโมเดลมาสร้างเป็นบ้านของเรา นอกจากการสร้างบ้านดินตามที่เราฝันไว้ ทาง CLC ยังออกแบบโครงหลังคาไม้ไผ่ เพื่อให้บ้านมีความน่าสนใจมากขึ้น ด้วยโครงสร้างเพดานที่สูง ทำให้อากาศในบ้านเย็นสบาย แสงธรรมชาติที่ลอดเข้ามายังสร้างบรรยากาศที่ไม่เหมือนกันในแต่ละวัน
“ฉันชอบฝันเรื่องบ้านมาตั้งแต่เล็กๆ คิดว่าบ้านต้องมีบรรยากาศที่เราชอบ ฉันเชื่อว่า บรรยากาศมีอิทธิพลมากในชีวิตของคนเรา บ้านควรมีสีที่เราชอบ ฉันคิดถึงแสงแดด คิดถึงอากาศเข้า-ออก คิดถึงธรรมชาติ คิดถึงทุกสิ่งที่ทำให้เราชื่นใจ ครอบครัวเราชอบไปเที่ยวธรรมชาติและก็ฝัน ฝัน ฝันว่าจะทำบ้านแบบนั้นแบบนี้ ลูกชายชอบมาก เขามีความคิดสร้างสรรค์ ตอนนี้ฟอเรสต์กำลังเรียนเป็นวิศวกร เพราะเขาชอบงานด้านนี้อย่างจริงจัง ตอนที่ CLC มาสร้างบ้านให้เรา ฉันกับลูกมีเวลาศึกษาไปด้วย เพราะตอนนั้นฟอเรสต์เรียนหนังสือที่บ้าน การเรียนรู้ทุกขั้นตอนของการสร้างบ้าน ก็เป็นการสอนประสบการณ์ชีวิตวิธีหนึ่ง และต้องขอบคุณ CLC มากๆ ที่เขาสอนและอธิบายให้เราฟังทุกขั้นตอน
“บ้านดินจำเป็นต้องทาสีและเคลือบผิว เพื่อไม่ให้เกิดฝุ่น เราทาสีกันเองด้วยสีธรรมชาติ ฉันชอบให้บ้านมีสีสันสดใส เฟอร์นิเจอร์ของใช้ในบ้านเป็นของเก่าจากบ้านเดิม เราไม่ได้ซื้อของตกแต่งใหม่เลย ทุกอย่างเป็นของที่เรามีอยู่แล้ว และมีความหมายสำหรับครอบครัวเรา ส่วนบานประตู–หน้าต่างก็ซื้อเก็บไว้ก่อนแล้วจากร้านขายไม้เก่า มีหน้าต่างอยู่ 20 บาน ประตู 10 บาน เราใช้ทั้งหมด ฉันอยากให้บ้านมีช่องหน้าต่าง–ประตูมากๆ เพื่อให้ลมผ่านเข้า–ออก และบ้านดินไม่เก็บความร้อน โครงสร้างไม้ไผ่ก็ทำให้อากาศผ่านเข้า–ออกได้เป็นอย่างดี ตอนเย็นในบ้านเย็นมาก พื้นก็เดินนุ่มเท้า เป็นธรรมชาติ เราอยู่แล้วรู้สึกดีมากๆ”
นอกจากชอบการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและใกล้ชิดธรรมชาติแล้ว เจ้าของบ้านยังชอบงานไม้มากๆ ด้วย เพราะเชื่อว่าไม้แต่ละแผ่นที่ผ่านการใช้งานล้วนมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง
“ไม้เก่ามีประโยชน์มาก เวลาอากาศเปลี่ยน ไม้จะไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ เมื่อปรับความชื้นออกไปแล้วจากการใช้หลายๆ ปีก็จะมีความสวยงามในตัวเอง มีร่องรอยที่ไม่เหมือนกัน ทำให้หน้าต่าง -ประตูแต่ละบานมีเอกลักษณ์พิเศษ สวนในบ้านของเราก็ร่มรื่นคล้ายป่า เน้นต้นไม้ประจำถิ่นเป็นต้นไม้ธรรมดาที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ ให้ดอกสวยงาม มีกลิ่นหอม เวลาลมพัดจะได้กลิ่นอ่อนๆ ลอยตามลมมา ทำให้มีนกและสัตว์ต่างๆ แวะเวียนมาให้เราได้เห็น ถ้านั่งนอกบ้านแล้วมองไปรอบบ้านเราจะเห็นแสงแดดที่ให้แสงเงาไม่เหมือนกันในแต่ละวัน วันเวลาฤดูกาลเปลี่ยน แสงก็จะเปลี่ยนไปด้วย เวลาตกกระทบกับตัวบ้านจะให้ความรู้สึกแปลกตาแตกต่างกันไป ถ้าตอนบ่ายแดดร้อนมาก เราก็จะปิดมู่ลี่ลง เพื่อลดความร้อน ซึ่งแสงที่ลอดผ่านมู่ลี่จะสวยงามมาก ฉันจึงไม่ค่อยไปไหน เพราะบ้านมีอะไรที่ทำให้เราชอบและอยากอยู่บ้านอย่างมีความสุขทุกวัน”
บรรยากาศรอบบ้านของครอบครัวคุณแคลร์ยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก ชาวบ้านใช้ชีวิตแบบชนบท ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เคยอยู่กันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แต่คุณแคลร์ก็กังวลว่าในอนาคตจะยังคงเป็นแบบนี้หรือไม่ เพราะความทันสมัยอาจทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
“คนไทยมีน้ำใจ เพื่อนบ้านเราอ่อนหวานน่ารัก ฉันพบเด็กไทยรุ่นใหม่หลายคนในหมู่บ้านที่คิดเหมือนกัน ว่าไม่ต้องการให้บรรยากาศรอบบ้านเปลี่ยนไป ฉันชอบมาก ชอบคุยกับเขา ชอบความคิดของเขา ฉันหวังว่า ทุกอย่างของที่นี่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เราควรคิดถึงการอนุรักษ์ รักษาวัฒนธรรมของเราไว้ ก่อนที่จะทำลายลงไปจนหมดแล้วนึกเสียดาย เมื่อกลับมาสร้างใหม่ก็ไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว”
การมาเยือนบ้านดินของครอบครัวคุณแคลร์ ทำให้เราพบความจริงที่พบเห็นเสมอว่า ชาวต่างชาติหลงใหลชื่นชอบความเป็นไทย ยิ่งเก่ายิ่งมีคุณค่า แต่คนไทยกลับมองข้ามและหลงใหลความทันสมัย ไม่ใช่เพียงแค่ไม่ใส่ใจ แต่เราทุบทำลายวัฒนธรรมของตัวเองเพื่อสร้างสิ่งใหม่ เมื่อวันหนึ่งเรารู้ตัวว่าความเป็นไทยคือสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา คือความงามที่หาที่ไหนไม่ได้ เราก็จะโหยหา คุณแคลร์พูดถูก อย่าทำลายก่อนจะนึกเสียดาย แต่เราควรเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุดจะดีกว่า
เรื่อง : อุบลวดี พงษ์ทองวัฒนา
ภาพ: อภิรักษ์ สุขสัย
เรื่องที่น่าสนใจ