มาถึงโดมสองหลังขนาดใหญ่รูปทรงเปลือกหอยซึ่งถือได้ว่าเป็นโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือมีการออกแบบให้ภายในไม่มีเสาค้ำยัน ถือว่าเป็นส่วนที่คนรักต้นไม้ไม่ควรพลาด หากจะเข้าไปชมในโดมนี้คุณต้องซื้อบัตร ราคา ผู้ใหญ่ 28 เหรียญสิงคโปร์ และเด็ก 15 เหรียญสิงคโปร์ สามารถเข้าได้ทั้งสองโดมหรือจะซื้อบัตรเข้าชมเพียงโดมเดียวก็ได้เช่นกัน แนะนำว่าควรจองล่วงหน้าในเว็บไซต์ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวซื้อบัตรด้านหน้า หรือหาซื้อบัตรจากทัวร์เอเจนซี่เพื่อให้ได้ราคาพิเศษ ภายในโดมทั้งสองหลังเน้นเป็นส่วนแสดงพรรณไม้ แต่แยกรูปแบบกันโดยสิ้นเชิง
โดมแรกมีชื่อว่า Cloud Forest เมื่อเข้ามาจะพบกับน้ำตกที่ไหลลงมาจากอาคารสูง เต็มไปด้วยละอองน้ำฟุ้งเป็นหมอกสีขาวโพลน ได้ความชุ่มฉ่ำเหมือนอยู่ในป่า อาคารตรงกลางเป็นเหมือนภูเขาจำลองอันสูงชันเต็มไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดปลูกแบบสวนแนวตั้งตลอดความสูงของอาคารขึ้นไปด้านบน ส่วนด้านล่างทำเป็นสวนที่ชอุ่มไปด้วยไม้ชนิดต่างๆสลับไปกับลำธาร ทั้งหมดไม่ได้จำลองให้เราเห็นภาพเหมือนจริงในธรรมชาติ แต่จงใจออกแบบให้ทันสมัย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและนวัตกรรมของสวนยุคใหม่ที่สามารถสอดคล้องไปกับสิ่งปลูกสร้างได้ ภายในนี้สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับพันธุ์พืชหายากบริเวณภูเขาสูงในเขตร้อนทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้ โดยสามารถขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนและเดินชมนิทรรศการบางส่วนที่จัดแสดงภายในอาคาร แต่ละชั้นยังมีทางเดินทั้งด้านในอาคารและทางเดินยื่นออกมาด้านนอกให้ได้เดินสำรวจพันธุ์พืชต่างๆได้ทั่วถึง
ส่วนโดมอีกหลังที่อยู่เคียงข้างกันมีชื่อว่า Flower Dome แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโดมหลังแรก เพราะจะพลิกบรรยากาศจากป่าเขตร้อนอันแสนชุมฉ่ำมาเป็นโดมไม้ดอกเมืองหนาวและพรรณไม้แปลกจากประเทศต่างๆทั่วโลก มีขนาดพื้นที่กว่า 3 เอเคอร์ซึ่งใหญ่กว่าโดมแรกถึง 1 เอเคอร์ ความรู้สึกแรกที่ก้าวเข้ามาคือเหมือนกำลังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบายจากการควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับดอกไม้ประมาณ 23-25 องศาเซลเซียส พร้อมตื่นตาตื่นใจกับต้นไม้ขนาดใหญ่ เช่น ต้นเบาบับ (Baobab) หลายคนอาจคุ้นชื่อเพราะต้นไม้ชนิดนี้ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมระดับโลกเรื่อง “เจ้าชายน้อย” ต้นมะกอก (Olive Tree) อายุนับพันปีจากสเปน ต้นปาล์ม (Chilean Wine Palm) ในโซน South American Garden ต้นขวด (Queensland Bottle Tree) จากประเทศออสเตรเลีย
ภายในโดมมีการจำลองสวนของทวีปต่างๆไว้ถึง 9 โซนด้วยกัน ได้แก่ California Garden, Olive Grove, Mediterranean Garden, South American Garden, South African Garden, Australia Garden, Succulent Garden, The Baobabs และ Flower Field โซนนี้เน้นเดินสบายๆอาจไม่หวือหวาเท่ากับโดมแรก แต่ก็เพลิดเพลินไปกับต้นไม้แปลกตาหายาก พื้นที่ส่วนหนึ่งยังมีการจัดกิจกรรมและนิทรรศการหมุนเวียนตามโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น ตรุษจีน อีสเตอร์ คริสต์มาส ซึ่งจะจัดแสดงดอกไม้ ต้นไม้ และสัญลักษณ์เพื่อสื่อถึงเทศกาลนั้นๆให้นักท่องเที่ยวได้สนุกสนานไปด้วย
หากเดินจนถึงมืดค่ำแนะนำว่าให้หยุดรอชมการแสดงแสงสีประกอบกับเสียงดนตรีให้ชมสดๆในชื่อว่า Rhapsody Garden บริเวณ Supertree ซึ่งแสงสีต่างๆที่แสนตระการตานั้นมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ต้นไม้เหล่านี้สะสมไว้ในช่วงกลางวันนั่นเอง โดยสามารถชมได้ทุกวัน วันละสองรอบ เวลา 19.45 น.และ 20.45 น.
Gardens by the Bay อาจไม่ใช่สวนที่งดงามตามแบบฉบับของธรรมชาติเหมือนสวนพฤกษศาสตร์ทั่วไป แต่สิ่งที่สวนแห่งนี้สื่อออกมาก็คือการแสดงนวัตกรรมสวนที่ก้าวหน้าสู่โลกยุคใหม่ของเมืองใหญ่ สำหรับประเทศอันมีพื้นที่จำกัดอย่างสิงคโปร์ การถมทะเลเพื่อสร้างที่ดินเป็นสิ่งปลูกสร้างอาจสร้างเม็ดเงินและมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มหาศาล แต่รัฐบาลสิงคโปร์กลับเปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ เพราะไม่ใช่แค่จะสร้างประเทศเป็น Garden City หรือเมืองแห่งสวนเท่านั้น แต่พวกเขาเปลี่ยนแนวคิดนั้นเป็นคำว่า City in a Garden หรือเมืองที่อยู่ในสวน เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชากรด้วยต้นไม้และพื้นที่สีเขียว ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีความหมายและให้คุณค่าที่ลึกซึ้งกว่ากันมาก
สำหรับใครที่แพลนว่าจะไปเที่ยวแล้วละก็ มีส่วนที่เข้าชมได้ฟรี และส่วนที่ต้องเสียค่าเข้าชม สามารถดูรายละเอียดค่าเข้าชม Gardens by the Bay และแผนที่ได้ที่นี่เลย http://www.gardensbythebay.com.sg/en.html
เรื่อง: “วรัปศร”
ภาพ : สิทธิศักดิ์ น้ำคำ