โกลเด้นแลนด์ เผยยอดขายไตรมาสแรกได้ตามเป้าหมาย 9,000 ล้านบาท ทั้งปี 62 คงเป้าหมายเปิดโครงการแนวราบรวม 28 โครงการ มูลค่ากว่า 33,000 ล้านบาท
บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จากัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สำหรับงวด 3 เดือน (1 มกราคม 2562 – 31 มีนาคม 2562) มียอดขายรวมกว่า 9,000 ล้านบาท มีรายได้รวม 4,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,333 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 38% และมีกำไรสุทธิกว่า 657 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 193 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42% เนื่องจากประสบความสาเร็จจากโครงการที่เปิดใหม่ช่วงปลายปี 2561 – ต้นปี 2562 พร้อมคงเป้าหมายครึ่งปีหลังตามแผนที่ตั้งไว้อย่างระมัดระวัง หลังมาตรการ LTV เริ่มส่งผลกับยอดโอนเดือนเมษายน-มิถุนายน
ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนที่ตั้งเป้าให้ปี 2562 เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวความสำเร็จ (Harvesting Success) โดยจากผลการดำเนินงานในงวด 3 เดือน (1 มกราคม 2562 – 31 มีนาคม 2562) บริษัทฯ ยังคงทำผลงานได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2562 เติบโต 14% จากปี 2561 โดยตั้งเป้ารายได้รวม 19,800 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 18,000 ล้านบาท โดยทั้งปี 2562 จะเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 4 โครงการ นีโอโฮม (บ้านแฝด) จำนวน 3 โครงการ ทาวน์โฮม จำนวน 15 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด 6 โครงการ และรายได้จากโครงการเชิงพาณิชย์ 1,800 ล้านบาทจากอาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ สาทรสแควร์ เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ และสามย่านมิตรทาวน์ที่เตรียมรับรู้รายได้จากการเปิดให้บริการในช่วงเดือนกันยายน 2562
สำหรับตลาดค้าปลีกหรือรีเทล มองว่า ตั้งแต่ปี 2563-2570 ตลาดรีเทลจะปรับรูปแบบในการเป็นรีเทลแบบเดี่ยว มาสู่การเป็นศูนย์รวมแบบครบวงจรหรือมิกซ์ยูส ที่ประกอบด้วย ศูนย์การค้า ร้านค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม คอนโดมิเนียม ศูนย์การประชุม โรงละคร หรืออาจมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ซึ่งทุกส่วนผสมล้วนเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ปัจจุบันมีรีเทลในมิกซ์ยูสที่มีการเปิดเผยข้อมูลแล้วกว่า 9 โครงการ และคาดว่าเทรนด์มิกซ์ยูสจะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอนาคต
คุณธนพล กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในปีครึ่งปีหลังของปี 2562 สถานการณ์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังคงต้องจับตา มองปัจจัยที่มีความเสี่ยงต่อธุรกิจ เช่น มาตรการอัตราส่วนการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านเทียบกับมูลค่าบ้าน (LTV) อาจส่งผลให้ผู้ซื้อ ได้รับความลำบากในการซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และยังคงต้องรอนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลใหม่ที่กำลังจัดตั้ง จากปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ทำให้บริษัทฯ ต้องทำการตลาด และวางแผนการขายอย่างรัดกุมมากขึ้น”