“TO FEEL THE NATURE IS TO LIVE WITH NATURE” ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเสมอเมื่อร่างกายได้สัมผัสกับสถานที่บางแห่ง ที่พาให้รู้สึกผ่อนคลายทันทีแบบอัตโนมัติ ทั้งความสงบทางธรรมชาติเช่น ต้นไม้ ป่าเขา ท้องทะเล แม่น้ำ หรือสถานที่พักผ่อนอย่าง รีสอร์ท ที่ล้วนแต่ถูกตกแต่งขึ้นมาให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกายได้รับรู้ถึงความสุนทรีย์ที่จะพาให้ค้นพบการพักผ่อนที่แท้จริง
การได้อยู่ใน “บ้านบรรยากาศรีสอร์ท” จึงเป็นดั่งสวรรค์บนดินที่ใครๆ ต่างปรารถนา ความสุขเกิดขึ้นทันทีในทุกเช้าที่ลืมตาตื่น และจบลงด้วยเสียงหัวเราะของคนในครอบครัวที่ส่งมอบให้กันและกันในมื้อค่ำ อรรถรสของการใช้ชีวิตในบ้านที่แวดล้อมด้วยบรรยากาศดั่งรีสอร์ทส่วนตัวที่ซ่อนตัวอยู่ในธรรมชาติ ได้สัมผัสโดยไม่ต้องไปไหนไกล ท่ามกลางบริบทของสังคมเมืองที่ยังคงพรั่งพร้อมด้วยความสะดวกสบาย ทั้งการเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก สถานพยาบาล แหล่งช็อปปิ้งไลฟ์สไตล์อื่นๆ ซึ่งยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตคนเมือง
บรรยากาศอันละมุนละไมที่พร้อมจะพาร่างกายให้รีแล็กซ์ เสมือนว่าได้พักอาศัยในรีสอร์ททุกๆ วันนั้นสามารถแต่งเติมขึ้นมาได้ ด้วยองค์ประกอบต่างๆ ของบ้านที่ร้อยเรียงจนกลายเป็นบ้านบรรยากาศรีสอร์ทที่ตอบโจทย์และเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของการอยู่อาศัย ให้การใช้ชีวิตเหมือนได้หลบหลีกความวุ่นวายทันทีที่เข้าสู่ภายในบ้าน
สเต็ปท์แรกในการตกแต่งบ้านให้บรรยากาศดุจดั่งรีสอร์ทคือการเลือกใช้สี สีมีผลต่อความรู้สึกเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสีโทนร้อนที่กระตุ้นความรู้สึกให้ตื่นเต้น หรือสีโทนเย็นที่สร้างอารมณ์ผ่อนคลาย การเลือกใช้สีกับบ้านเพื่อให้เกิดบรรยากาศรีสอร์ทนั้น ควรเลือกโทนที่สื่อถึงธรรมชาติอย่างโทนสี Earth Tone หรือ Nature Tone ซึ่งโทนนี้มาจากเฉดสีของโลกที่ประกอบด้วย ป่าเขา ท้องฟ้า และผืนดิน ทำให้ได้โทนสีที่สร้างความรู้สึกสบายๆ ผ่อนคลาย สงบ เป็นกันเอง อย่างเช่นโทนสีน้ำตาลที่เป็นสีของไม้ ดิน สื่อถึงความรู้สึกอบอุ่น หนักแน่น แต่ก็ให้ความรู้สึกที่หรูหราและผ่อนคลายไปพร้อมๆ กัน ในขณะที่โทนสีเทาซึ่งเป็นสีกลางที่ให้อารมณ์สงบนิ่งแต่ก็แฝงไปด้วยความเท่ทันสมัยซึ่งสามารถแมทช์ได้กับทุกคู่สี บ้านสไตล์รีสอร์ทจึงมักถูกออกแบบให้มีกลุ่มสีเหล่านี้ตกแต่งตัวอาคาร ภายในบ้าน เพื่อให้เกิดโทนสีที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติและมนุษย์สามารถสื่อสารได้ง่ายด้วยความหมายในตัวมันเอง
สิ่งสำคัญที่สุดของบ้านสไตล์รีสอร์ทคือ บรรยากาศที่อยู่แล้วรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ซึ่งเกิดขึ้นจากอากาศภายในบ้านที่ปลอดโปร่งไม่อุดอู้ อยู่แล้วเย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าว ซึ่งการสร้างบรรยากาศให้เหมาะกับอยู่อาศัยต้องเริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบและเลือกวัสดุ เช่นการเลือกกระจกตัดแสงเพื่อป้องกันความร้อนแต่ไม่บดบังแสงสว่างจากภายนอก ออกแบบให้บ้านมี Shading Screen ระแนงบังแดดที่ช่วยให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแต่ไม่ปิดมิดเกินแสงส่องถึง เลือกใช้สีทาภายนอกที่สะท้อนความร้อนไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ภายในอาคาร หรือชายคาอาคารที่ยื่นยาวเป็นพิเศษเพื่อป้องกันทั้งแสงแดดและสายฝนไม่ให้สาดเข้าสู่ตัวบ้าน ไม่เพียงเท่านั้น บ้านที่เย็นสบายยังต้องประกอบด้วยการหมุนเวียนอากาศภายใน ไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค เกิดอากาศถ่ายเทที่สัมผัสได้ทันทีที่เข้าสู่พื้นที่ภายใน
นอกจากนี้ยังสามารถสร้างความร่มรื่นทางสายตาภายในบ้านด้วยต้นไม้ประเภท Houseplants , Indoor plants เช่น มอนสเตอร่า ไทรใบสัก หรือต้นไม้ฟอกอากาศที่ช่วยดูดซับสารพิษ เช่น ต้นยางอินเดีย ไอวี่ ฟิโลเดรนดรอน ลิ้นมังกร กล้วยไม้ เศรษฐีเรือนใน โดยเลือกปลูกในกระถางตั้งประดับในมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน เท่านี้ก็สัมผัสความสดชื่นผ่อนคลายได้ในทุกๆ วัน
ส่วนหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่เสริมสร้างให้บ้านมีบรรยากาศแบบรีสอร์ทนั้นคือการเลือกวัสดุที่มีความใกล้เคียงกับวัสดุจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์สัมผัสและมีความรู้สึกร่วมได้ง่าย ทั้งโทนสีและเท็กเจอร์ อาทิ วัสดุทดแทนไม้ที่มีโทนสีและลวดลายเหมือนไม้แท้ หินสังเคราะห์ที่ผ่านการผลิตให้มีลวดลาย สีสัน และผิวสัมผัสที่ไม่ต่างจากหินจริง หรือการสร้างแสงและเงาให้ตกกระทบบนผิวผนังอาคารอันเกิดจากแสงธรรมชาติส่องผ่านกับ Shading Screen เกิดเป็นร่มเงาที่ออกแบบลวดลายได้ รวมถึงร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่พาดผ่านตัวอาคารก็ล้วนแต่สร้างบรรยากาศให้เหมือนว่าบ้านตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง
ระเบียงกว้างก็ช่วยให้สัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่ม ด้วยฟังก์ชั่นของบ้านที่ออกแบบให้มีระเบียงเชื่อมต่อภายในกับภายนอกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นระเบียงห้องนอนที่พร้อมให้เปิดรับแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ หรือเฉลียงหน้าบ้านขนาดกว้างสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ของทุกคนในบ้าน รองรับการปาร์ตี้สังสรรค์ หรือนั่งเล่นพูดคุยแบบสนุกๆ ในบรรยากาศกึ่งเอ๊าต์ดอร์ สร้างการพักผ่อนที่เปิดให้สัมผัสกับธรรมชาติรอบด้านที่จัดแต่งไว้อย่างสวยงาม
สุดท้าย หากอยากอยู่บ้านสไตล์รีสอร์ทต้องกล้าเปิดรับกับความสวยงามของธรรมชาติที่จัดแต่งไว้อย่างร่มรื่น ไม่ว่าจะเป็น การปลูกต้นไม้ที่ให้ร่มเงาริมถนนและทางเดิน จัดวางให้สวยงามสอดรับกับดีไซน์ของตัวอาคาร เกิดความกลมกลืนทั้งภายในรั้วบ้านและพื้นที่รอบๆ รวมถึงการจัดสวนรอบบ้าน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บ้านเกิดบรรยากาศที่ชวนผ่อนคลายแบบรีสอร์ท โดยสวนแต่ละสไตล์ต่างสื่อถึงอารมณ์ที่แตกต่างกัน เช่น
-สวนสไตล์ทรอปิคัล เป็นรูปแบบสวนที่จำลองป่าธรรมชาติของเขตร้อนชื้น ประกอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา มีน้ำตกบ่อปลาเป็นตัวช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เน้นไม้ใบสีเขียวชอุ่ม สวนสไตล์นี้จะให้ความรู้สึกสงบ ร่มรื่น ไม่ต่างจากการได้ไปอยู่ในป่าธรรมชาติ
– สวนสไตล์อังกฤษ เป็นรูปแบบสวนที่เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับที่ดูอ่อนหวาน อบอุ่น สวนอังกฤษจะเน้นปลูกต้นไม้ใบเล็กละเอียด ปลูกไม้ดอกหลายชนิดผสมผสานให้สวนดูเหมือนเกิดขึ้นเองธรรมชาติ จึงให้ความรู้สึกสดใส โรแมนติก และกลิ่นหอมของไม้ช่วยคลายกังวลได้เป็นอย่างดี
-สวนสไตล์ญี่ปุ่น เป็นรูปแบบสวนที่นิยมจัดตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศสงบนิ่ง องค์ประกอบในสวนญี่ปุ่นมักประกอบด้วยของตกแต่งที่สื่อถึงความมงคล เช่นตะเกียงหิน น้ำพุ บ่อปลาคาร์ป หรือธารน้ำเล็กๆ ที่เสียงสายน้ำไหลเอื่อย ช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย เรียบง่าย และสงบนิ่ง
การสร้างบรรยากาศให้บ้านเป็นดั่งรีสอร์ทที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้จริงที่โครงการ บุราสิริ บ้านบรรยากาศรีสอร์ทที่ออกแบบให้ทุกคนได้สัมผัสกับธรรมชาติผ่านงานดีไซน์ที่ตอบโจทย์ในทุกๆ ด้าน ทั้งตัวบ้านที่ออกแบบให้มีฟังก์ชั่นที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ สร้างสัมผัสที่อยู่สบายด้วยการออกแบบเพื่อลดความร้อนเข้าสู่พื้นที่ภายใน ทำให้บ้านอยู่สบาย คำนึงถึงทุกวัยในบ้านด้วย Elderly Care Design Solution นวัตกรรมที่สร้างความปลอดภัยให้กับผู้สูงอายุ ไม่เพียงเท่านั้นยังเติมเต็มบรรยากาศแบบรีสอร์ทให้มากยิ่งขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมของคลับเฮ้าส์ที่มีดีไซน์แตกต่างเฉพาะตัว งดงามไม่ต่างจากรีสอร์ทหรู ทางเข้าโครงการและสวนส่วนกลางที่รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ เพิ่มพื้นที่ Strip Park เชื่อมต่อระหว่างบ้านกับซอยถนนเกิดความเขียวชอุ่มต่อเนื่อง ทำให้รู้สึกถึงร่มรื่น สบายตา เติมเต็มให้การอยู่บ้านเป็นการพักผ่อนอย่างแท้จริง
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ siri.ly/BurasiriThisIsPeace_BaanLaeSuan
#ThisIsPeace #Burasiri #ResortStyledHome