ย้อนไปสักสิบปีก่อนอาจยังไม่ค่อยได้เห็นบ้านไหนในเมืองไทยติดตั้ง หลังคาโซล่าเซลล์ เท่าไรนัก อาจเนื่องด้วยต้นทุนที่สูง หรือการคืนทุนที่ไม่คุ้มเท่าไหร่กับเงินที่เสียไป แต่ปัจจุบันทางรัฐบาลได้มีนโยบายให้ประชากรหันมาสนใจมากขึ้นด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ บวกกับกระแสรักษ์โลกที่ผู้คนหันมาสนใจเรื่องพลังงานสะอาด จนหลายๆ บ้านเริ่มมีการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์กันแพร่หลายมากกว่าเมื่อก่อน
แต่การติดตั้ง ‘ หลังคาโซล่าเซลล์ ’ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเรียกช่างมาแล้วจบเลยทีเดียว เพราะต้องใช้ช่างเฉพาะทางและเราต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพื่อความคุ้มค่าที่จะได้รับกลับคืนมา ครั้งนี้เราจึงมีข้อควรรู้ไว้ก่อนลงมือติดตั้งโซลาร์เซลล์มาให้ศึกษากันอย่างละเอียดก่อน
ทำความรู้จักโซลาร์เซลล์กันก่อน
หลังคาโซลาร์เซลล์ หรือ หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานสะอาดที่รับมาจากแสงอาทิตย์และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง ด้วยกระบวนการ Photovoltaic Effect จากนั้นส่งไปยังอินเวอร์เตอร์ เพื่อเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสสลับ นำมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้าน ช่วยลดค่าไฟฟ้าในบ้านและการลงทุนในระยะยาว ซึ่งระบบแผงโซลาร์เซลล์แบ่งออกเป็น 3 ระบบ
ระบบออนกริด (On-Grid System)
ระบบที่ต่อเชื่อมสายส่งการไฟฟ้า มีแผงโซลาร์เซลล์ต่อเข้ากับกริดไทอินเวอร์เตอร์ จากนั้นเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรงมาเป็นกระแสสลับให้ใช้งานในบ้านได้ ซึ่งระบบนี้จะเชื่อมต่อกับระบบจำหน่ายไฟของการไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จึงเป็นระบบที่หลายบ้านนิยมติดตั้งกัน เพราะสามารถขายคืนให้การไฟฟ้าฯ ได้ แต่ก่อนติดตั้งต้องขออนุญาตก่อนเสมอ
ระบบไฮบริด (Hybrid)
ข้อแตกต่างระบบนี้อยู่ที่มีแบตเตอรี่มาสำรองพลังงาน สำหรับใช้งานในเวลาที่ไม่มีแสงอาทิตย์ และกรณีที่ผลิตกระแสไฟฟ้ามากพอเกินกว่าการใช้งานแล้ว ระบบจะนำกระแสไฟฟ้าชาร์ตเข้าแบตเตอรี่ เพื่อนำไปใช้งานต่อในเวลาอื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์มากเมื่อบ้านไหนที่ไฟตกบ่อยก็สามารถดึงเอาไฟฟ้าในแบตเตอรี่มาใช้งานไดh
ระบบออฟกริด (Off-Grid System)
ระบบนี้การทำงานจะเหมือนกับ ‘ออนกริด’ และ ‘ไฮบริด’ คือจะรับพลังงานมาเข้าอินเวอร์เตอร์ แล้วเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟากระแสสลับมาใช้งานในบ้าน รวมถึงการผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าชาร์ตในแบตเตอรี่ด้วย แต่ข้อแตกต่างอยู่ตรงไม่ได้เชื่อมต่อเข้ากับระบบจำหน่ายของการไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การติดตั้งจะไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อน ระบบนี้จึงเหมาะมากกับบ้านที่กระแสไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง
อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการติดตั้ง
แผงโซลาร์เซลล์ (Photovoltaic/PV) ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงแดดให้เป็นพลังงานไฟฟ้า โดยก่อนจะตัดสินใจเลือกขนาดของแผงต้องทราบก่อนว่าเราต้องการผลิตกระแสไฟฟ้ามากน้อยเพียงใด และต้องใช้ขนาดกำลังวัตต์ไหนจึงจะเหมาะสม ซึ่งมีจำหน่ายตั้งแต่ขนาด 10-285 วัตต์ แต่ควรเลือกแผงโวลาร์เซลล์ให้มีกำลังไฟมากกว่าการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างน้อย 20 เปอร์เซนต์ รวมถึงอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์จะอยู่ที่ 25 ปี แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานถึง 10 ปี ประสิทธิภาพการผลิตไฟก็จะลดลงไปตาม ดังนั้นก่อนจะเลือกต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้ตรงนี้ก่อน
แผงโซลาร์เซลล์มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด
- โมโน โซลาร์เซลล์ (Mono Solar Cell) ทำมาจาก Silicon ที่มีความบริสุทธิสูง มีประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าสูงกว่าแผงชนิดอื่นๆ แม้อยู่ในภาวะแสงแดดน้อย มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดถึง 25 ปี
- โพลีโซลาร์เซลล์ (Poly Solar Cell) ทำมาจากผลึก Silicon เหมือนกัน แต่ขั้นตอนการผลิตแตกต่างกัน มีคุณสมบัติในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ดีน้อยกว่าแผงแบบโมโน มีอายุการใช้งานประมาณ 20-25 ปี
- อะมอร์ฟัสโซลาร์เซลล์ (Amorphous Solar Cell) เป็นการนำเอาสารที่มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ไปเป็นพลังงานไฟฟ้ามาฉาบเป็นแผ่นฟิลม์บางๆ เป็นแผงที่มีราคาถูกที่สุด แต่การผลิตกระแสไฟฟ้าและอายุการใช้งานนะน้อยกว่าชนิดอื่นๆ
เครื่องแปลงไฟ (Inverter) อุปกรณ์ที่จะเปลี่ยนกระไฟฟ้า ควรเลือกกำลังวัตต์ให้มากกว่ากำลังวัตต์ของเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมทั้งหมดในบ้านประมาณ 30-40 % ปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบคือ Off grid inverter และ On grid inverter
แบตเตอรี่ (Battery) อุปกรณ์สำหรับเก็บไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งแบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุดคือ แบตเตอรี่แบบจ่ายประจุสูง (Deep discharge battery) มีคุณสมบัติในการจ่ายพลังงานในปริมาณน้อยแต่ต่อเนื่อง โดยที่ไม่เกิดความเสียหายกับแบตเตอรี่
เครื่องควบคุมการชาร์จไฟ (Solar control charger) ทำหน้าที่คุมแรงดันและกระแสไฟฟ้าที่เข้าสู่แบตเตอรี่ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งเครื่องควบคุมชาร์จที่ดีจะสามารถรีดพลังงานจากแสงแดดไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้มากที่สุด โดยราคามีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักหมื่น
อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร (Over Current Protection & Accessaries)
หลักในคำนึงพื้นที่การติดตั้ง
ในข้อนี้เราต้องศึกษาพื้นที่ในบ้านให้ดีเสียก่อน ว่าควรติดตั้งทิศทางและตำแหน่งไหน ซึ่งมีหลักง่ายๆ ไม่กี่ข้อให้เข้าใจกันเสียก่อน
ทิศทางแสงแดด – ถ้าไม่มีแสงอาทิตย์โซลาร์เซลล์ที่มีอยู่ก็เหมือนไร้ค่าในทันที ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าทิศทางเหมาะสมที่สุดเป็นทิศใต้หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่เป็นทิศทางการโคจรของดวงอาทิตย์ที่ได้ปริมาณแสงแรงสุด แต่ทิศทางตรงนั้นก็ต้องไม่มีวัตถุใดๆ มาบดบังแสงด้วย รวมถึงองศาความลาดชันควรประมาณ 15-20 องศากับพื้นดิน เพื่อทำให้แสงอาทิตย์กระทบตั้งฉากกับแผงโซลาร์เซลล์ให้มากที่สุด
ตำแหน่งการติดตั้งแผง – ปกติแล้วหลายๆ บ้านก็นิยมติดอยู่บนหลังคา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีสุดในการกระทบกับแสงอาทิตย์ แต่ทางที่ดีควรให้วิศวกรผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบโครงหลังคาเสียก่อน ว่าสามารถรับน้ำหนักของแผงโซลาร์เซลล์ได้หรือไม่ นอกจากนี้หากต้องการไฟฟ้าให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีควรเผื่อพื้นที่ว่างไว้ในพื้นที่ที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ประมาณ 20 % ของพื้นที่ที่จะติดตั้ง
ติดตั้งเท่าไหร่ถึงจะคุ้มทุน
ใครๆ ก็บอกติดตั้งโซลาร์เซลล์คุ้มอยู่แล้วในระยะยาว แต่เราต้องมาคำนึงถึงการใช้ไฟฟ้าในบ้านของเราก่อนว่าควรติดตั้งเท่าไหร่ดีจึงจะพอดีกับการใช้งานในครัวเรือน ซึ่งเรามาเริ่มต้นคำนวณค่าไฟกันก่อน ตามขั้นตอนตามนี้
- การคำนวณค่าไฟเราจะคำนวณจากหน่วยไฟฟ้าเป็น ‘กิโลวัตต์’ ซึ่งขนาดแผงโซลาร์เซลล์ สมมติว่า ‘1 แผง มีขนาดเท่ากับ 120*60 เซนติเมตร มีพื้นที่เท่ากับ 0.72 ตร.ม. มีกำลังผลิตแผงละ 102 วัตต์’ ดังนั้นหากต้องการผลิตให้ได้ 1 กิโลวัตต์ ต้องใช้ 10 แผงในการติดตั้ง กินพื้นที่บนหลังคาเท่ากับ 7.2 ตร.ม.
- จากนั้นมาดูปริมาณการใช้งานไฟฟ้าในแต่ละเดือนของเราว่าใช้เดือนละกี่หน่วย(KW-h) สมมติ ถ้าใช้เดือนละ 2,000 หน่วย (เสียค่าไฟฟ้าประมาณเดือน 10,000 บาท)
- ให้จดเลขมิเตอร์ 2 ครั้งใน 1 วัน ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 9.00 น. และเย็น 17.00 น. ทั้งหมด 4 วัน แล้วนำมาลบกันก็จะได้ค่าจำนวนหน่วยที่ใช้ในเวลากลางวัน จากนั้นนำหน่วยทั้งหมดที่ได้มาหาร 4 ยกตัวอย่างเช่น 55+40+50+45 = 190/4 เฉลี่ยแล้วใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันประมาณ 47.5 หน่วย
- ใน 1 วันมีแสงอาทิตย์ประมาณ 5 ชม. เราก็ต้องนำ 47.5 หน่วย หาร 5 ได้เท่ากับ 9.5 กิโลวัตต์ ดังนั้นการติดตั้งโซลาร์เซลล์ประมาณ 10 กิโลวัตต์จึงจะเหมาะสมและคุ้มทุนที่สุด โดยจำนวนแผงที่จะติดตั้งต้องดูตามปริมาณวัตต์ต่อ 1 แผง
คำนวณจุดคุ้มทุนอย่างละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.solarhub.co.th/solar-solutions/residential-solar/331-2016-04-16-15-50-18
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมกับค่าใช้จ่ายอุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องนำมาใช้ในการติดตั้งทั้ง สายไฟฟ้า / ท่อร้อยสาย / กริดไทร์อินเวอร์เตอร์ / AC Breaker / Combiner Box และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งรวมแล้วจะประมาณ 300,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพที่ใช้งาน แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหม? ต้องลองคำนวณในแบบข้างกับผลระยะยาว เพราะบ้านเป็นสิ่งที่จะอยู่กับเราไปอีกนานครับ
ขั้นตอนขายคืนให้รัฐ
นอกจากติดตั้งเพื่อใช้งานในบ้านแล้ว เจ้าของมิเตอร์ยังสามารถขายคืนให้กับรัฐได้ด้วย ในโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ลงทะเบียนยื่นความจำนงได้ที่ https://spv.mea.or.th/ โดยมีเงื่อนไขข้อกำหนดเบื้องต้นคือ
1 ผู้ยื่นสมัครจะต้องเป็นเจ้าของมิเตอร์ เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่อยู่อาศัย (ประเภทที่ 1)
2 จุดประสงค์ในการติดตั้งแผนโซลาร์คือเพื่อใช้เองภายในครัวเรือนเพื่อลดค่ากระแสไฟฟ้า ส่วนที่เหลือใช้ขายคืนให้กับ PEA มีกำลังผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 10 กิโลวัตต์
3 PEA รับซื้อในอัตรา 1.68 บาท/หน่วย เป็นเวลา 10 ปี
4 มีค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อระบบโครงการ 8500 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
5 ยื่นคำขอภายในปี 2562 จัดลำดับการรับซื้อจากผู้ที่ลงทะเบียนก่อนมีสิทธิ์ก่อน
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1129 หรือโทร. 02-590-9753, 02-590-9763 และ 02-009-6053
ดาวน์โหลดข้อกำหนดการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าโซลาร์เซลล์
เรื่อง : Gott/JOMM YB
ข้อมูลจาก การไฟฟ้านครหลวง