เมื่อพูดถึงน้ำดื่มน้ำใช้ในครัวเรือน เครื่องกรองน้ำ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรติดตั้งไว้ที่บ้าน มาทำความรู้จักกับระบบกรองน้ำแบบต่างๆ และวิธีเลือกใช้ให้เหมาะกับบ้านของคุณกัน
เมื่อพูดถึง เครื่องกรองน้ำ ระบบกรองน้ำ ทุกท่านอาจคุ้นเคยกับเครื่องกรองน้ำดื่มเล็ก ๆ ที่ติดตั้งอยู่ในห้องครัว แต่จริง ๆ แล้วระบบกรองน้ำนั้นสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท ตั้งแต่ประเภทน้ำดื่มและน้ำใช้ หรือจะแบ่งตามลักษณะการกรองก็ได้ วันนี้ บ้านและสวน จึงอยากชวนคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับ เครื่องกรองน้ำ ระบบกรองน้ำ ในบ้าน เพื่อจะได้เลือกใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
ระบบน้ำใช้ (Whole House Water Filter System)
เป็นระบบกรองน้ำที่มีไว้เพื่อปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้นก่อนเข้าสู่ระบบน้ำที่ใช้ภายในบ้านและเตรียมความพร้อมของน้ำก่อนเข้าระบบกรองน้ำดื่ม โดยเฉพาะในพื้นที่น้ำกร่อย น้ำเค็ม น้ำกระด้าง หรือบางพื้นที่ที่ใช้น้ำบาดาล ซึ่งควรติดตั้งระบบกรองน้ำใช้ต่อจากมิเตอร์ประปา น้ำใช้ที่ผ่านการกรองแล้วจะถูกแจกจ่ายไปยังส่วนต่างๆ ในบ้าน รวมถึงจ่ายไปยังระบบกรองน้ำดื่ม นอกจากจะทำให้น้ำใช้ของเราสะอาดขึ้นแล้ว ยังช่วยถนอมระบบประปาภายในบ้านไม่ให้เกิดปัญหาระยะยาวตามมา
ระบบน้ำดื่ม (Drinking Water Filter System)
ระบบกรองน้ำดื่มโดยพื้นฐานจะมีความคล้ายกับระบบกรองน้ำใช้ แต่เน้นในด้านคุณภาพน้ำและการกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากน้ำก่อนนำไปบริโภค โดยเฉพาะเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งเครื่องกรองน้ำดื่มนั้นสามารถติดตั้งแยกตามจุดใช้งานได้หลายจุด
ประเภทของไส้กรอง
แม้ระบบของเครื่องกรองน้ำจะมีอยู่หลายประเภท แต่ในส่วนของไส้กรองยังมีบางส่วนที่ใช้ร่วมกัน แตกต่างกันไปในลำดับและจำนวนขั้นตอนในกรรมวิธีการกรอง โดยประเภทของไส้กรองมีหน้าที่และอายุการใช้งานต่างกัน ดังนี้
- ไส้กรอง Polypropylene หรือไส้กรอง PP ไส้กรองชนิดนี้มีความละเอียดตั้งแต่ 1 – 10 ไมครอน มักใช้ในการกรองขั้นแรกสุด สามารถดักฝุ่นผงและสารแขวนลอยต่างๆ ได้ดี ช่วยให้ไส้กรองลำดับหลังจากนี้ซึ่งมีความละเอียดในการกรองมากกว่า ไม่อุดตันง่าย อายุการใช้งานโดยประมาณ 3- 6 เดือน
- ไส้กรองคาร์บอน เป็นการนำคาร์บอนมาอัดเป็นแท่งแล้วพันด้วยตาข่าย หรือใช้คาร์บอนเกล็ดอัดใส่กระบอก มีความสามารถในการดูดกลิ่น สี คลอรีน และสารเคมี มักอยู่ในระบบกรองน้ำแทบทุกระบบ อายุการใช้งานโดยประมาณ 3- 6 เดือน
- ไส้กรองเรซิ่น ทำหน้าที่ลดปริมาณหินปูน ช่วยให้น้ำไม่กระด้าง ป้องกันการเป็นนิ่ว โดยใช้การแลกเปลี่ยนประจุทำให้แคลเซียม และแมกนีเซียม ถูกดูดซับเอาไว้ที่เรซิ่น แล้วเปลี่ยนเป็นโซเดียมมาแทน มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับพื้นที่ที่ใช้น้ำบาดาล หรือเป็นน้ำกร่อย อายุการใช้งานโดยประมาณ 3- 6 เดือน
- ไส้กรอง Reverse Osmosis เป็นไส้กรองที่ละเอียดด้วยเยื่อเมมเบรน อาจกรองได้ถึง 0.0001 ไมครอน ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ สามารถกรองเชื้อไวรัสได้ แต่ก็ทำให้น้ำไม่หลงเหลือแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายอยู่เลย และด้วยความละเอียดที่มากเป็นพิเศษ การกรองประเภทนี้จึงต้องใช้แรงดันและปั๊มน้ำร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม แรงดันอาจทำให้เมมเบรนเกิดการฉีกขาดภายใน ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่มีการแจ้งเตือน ทำให้น้ำที่ได้ไม่สะอาดตามที่กล่าวอ้าง มีอายุการใช้งานโดยประมาณ 6 เดือน – 1 ปี
- ไส้กรอง eSpring (Carbon + Ultraviolet) เป็นระบบไส้กรองที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ด้วยการใช้ทั้งไส้กรองคาร์บอนกัมมันต์และหลอดอัลตร้าไวโอเล็ทในระบบเดียวกัน คาร์บอนกัมมันต์คุณภาพสูงมีรูพรุนมากกว่าไส้กรองทั่วไป จึงมีพื้นที่ผิวสัมผัสดักจับสิ่งปนเปื้อนได้มากกว่า และกรองสิ่งปนเปื้อนที่มีขนาดเล็กถึง 0.2 ไมครอนได้มากถึง 160 ชนิด* แต่ยังคงแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงได้น้ำดื่มที่มีแร่ธาตุด้วย และเทคโนโลยีหลอดอัลตร้าไวโอเล็ทที่กำจัดเชื้อโรค ไวรัสและแบคทีเรียได้ถึง 99.99%** มีอายุการใช้งานไส้กรอง 1 ปี หรือ 5,000 ลิตร
- ไส้กรอง Post Carbon เป็นไส้กรองที่ไม่เกี่ยวกับความสะอาดของน้ำ แต่มีหน้าที่ในการปรับรสชาติ และค่า ph ของน้ำดื่ม อายุการใช้งานโดยประมาณ 1 ปี
- เครื่องกรองน้ำในท้องตลาดที่เป็นแบบเต็มระบบคือมีการกรอง 5 ขั้นตอน จะมีไส้กรองทั้ง 5 ชนิดดังกล่าว แต่นอกจากนั้นยังมีไส้กรองอื่นๆ ที่ติดตั้งมาเป็นตัวเลือกเพิ่มออปชันในการกรองน้ำ เช่น
- ไส้กรองเซรามิก ทำมาจากเซรามิกอัดเป็นแท่ง มีความละเอียดประมาณ 1 – 0.3 ไมครอน จึงสามารถกรองเชื้อแบคทีเรียได้ มีข้อดีคือนำมาทำความสะอาดและใช้ซ้ำได้ อายุการใช้งานโดยประมาณ 1 ปี
- ไส้กรอง Nano Filtration สามารถกรองได้ละเอียดถึง 001 ไมครอน แต่ไม่เป็นที่นิยม เพราะไม่มีระบบระบายน้ำทิ้งจึงเกิดการอุดตันได้ง่าย อายุการใช้งานโดยประมาณ 1 ปี
- ไส้กรองน้ำแร่ เป็นไส้กรองที่ไม่เกี่ยวกับความสะอาดของน้ำเช่นกัน แต่มีหน้าที่เติมแร่ธาตุในน้ำตามส่วนผสมของแร่ธาตุที่บรรจุอยู่ในไส้กรอง อายุการใช้งานโดยประมาณ 1 ปี
ประเภทของเครื่องกรองน้ำ
ไม่ว่าจะเป็นระบบกรองน้ำใช้ หรือระบบกรองน้ำดื่ม ล้วนมีพื้นฐานมาจากหลักการเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ลักษณะและปริมาณของการใช้งาน โดยในระบบกรองน้ำใช้มักเป็นระบบ Micro Filter และ Ultra Filter ซึ่งเพียงพอแล้วต่อการใช้งานในการอุปโภคบริโภค แต่ในระบบกรองน้ำดื่มจะมีขั้นตอนที่กรองได้ละเอียดมากกว่า โดยระบบกรองน้ำนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
เครื่องกรองน้ำใช้ MF (Micro Filtration System)
สามารถกรองน้ำและปรับคุณภาพน้ำให้เหมาะสมต่อการใช้งาน เพื่อนำเข้าสู่ระบบกรองน้ำดื่มต่อไป มีความละเอียด 0.3-0.01 ไมครอน แรงดันประปามาตรฐาน ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ช่วยแก้ปัญหาน้ำกร่อย น้ำเค็ม และน้ำกระด้าง ก่อนเข้าสู่ระบบประปาภายในบ้าน นอกจากนี้ยังสามารถกรองสี กลิ่น และเชื้อโรคได้ แต่ยังไม่ใช่น้ำคุณภาพดีที่จะใช้ดื่มได้ อาจต้องกรองเพิ่ม หรือต้มอีกครั้ง ตัวเครื่องที่ทำจากไฟเบอร์ มีอายุการใช้งาน 10-15 ปี แต่ต้องอยู่ในร่ม หากติดตั้งนอกบ้านให้เลือกตัวเครื่องสแตนเลส มีอายุการใช้งาน 20-30 ปี ราคาเริ่มต้นที่ 5,000-30,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาด ส่วนไส้กรองราคาเริ่มที่ 1,000-3,000 บาท มีอายุ 1-3 ปี
เครื่องกรองน้ำดื่ม UF (Ultra Filtration System)
มีลำดับการกรอง และความละเอียดที่มากกว่าระบบ MF ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องกรองน้ำแบบ 3 ขั้นตอน จึงเป็นการกรองแบบปลอดเชื้อ สามารถกรองเชื้อจุลินทรีย์ ไวรัส แบคทีเรีย และโปรโตซัวได้ทุกชนิด อีกทั้งสารที่นำมาใช้การกรองแต่ละชั้น ยังสามารถกรองคลอรีน และโลหะหนักได้อีกด้วย มีความละเอียด 0.01 ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า สามารถใช้งานในแรงดันน้ำประปามาตรฐานได้ ตัวเครื่อง 3,000 – 10,000 บาท มีอายุการใช้งาน 10-15 ปี ไส้กรองราคาเริ่มที่ 3,000-20,000 บาท มีอายุ 9-12 เดือน
เครื่องกรองน้ำดื่ม UV (Ultraviolet Filtration System)
ระบบกรองที่จะเรียกว่าระบบกรองน้ำก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเป็นการพาน้ำผ่านประจุแสงอัลตราไวโอเลตเข้มข้นเพื่อกำจัดเชื้อโรคต่างๆ แต่ผู้ผลิตมักจะติดตั้งระบบกรองนี้ควบคู่มากับระบบกรองอื่นๆ ด้วย ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ เป็นวิธีกรองที่รวดเร็วและสามารถใช้ร่วมกับการกรองระบบอื่นได้ แต่การอาบประจุแสง UV นั้นไม่ใช่การกรองผ่านชั้นกรอง อาจมีสิ่งสกปรกต่างๆ ตกค้างอยู่ในน้ำ จึงต้องการระบบกรองแบบอื่นมาช่วยปรับคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น ชุดหลอดและอุปกรณ์ต่อท่อน้ำ ราคาประมาณ 1,000 – 2,000 บาท หลอดราคาประมาณ UV 500 – 1,000 บาท มีอายุ 12-18 เดือน (ราคาเฉพาะชุดหลอดไม่รวมเครื่องกรองน้ำ)
เครื่องกรองน้ำดื่ม RO (Reverse Osmosis System)
เป็นระบบกรองที่ใช้แรงดันน้ำดันผ่านไส้กรองเมมเบรนความละเอียดสูง มักเป็นเครื่องกรองน้ำแบบ 5 ขั้นตอน ช่วยให้สามารถคัดกรองสิ่งสกปรกรวมถึงแบคทีเรีย และไวรัสได้ แต่ก็ทำให้แร่ธาตุที่สำคัญในน้ำหายไปจนหมดด้วยเช่นกัน ซึ่งการกรองที่ละเอียดเช่นนี้ มีผลทำให้ชั้นกรองอาจจะเกิดการอุดตันได้ ทั้งยังต้องใช้แรงดันในการดันน้ำผ่านชั้นกรอง ต้องอาศัยปั๊มน้ำช่วยในการกรองจึงต้องติดตั้งไฟฟ้าด้วย ทำให้ตัวเครื่องมีราคาสูงกว่าระบบกรองชนิดอื่นๆ ราคาตั้งแต่ 5,000 – 30,000 บาท มีอายุการใช้งาน 10-15 ปี
เครื่องกรองน้ำดื่ม eSpring (Carbon+Ultraviolet System)
เป็นระบบกรองน้ำที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ด้วยการใช้ทั้งไส้กรองคาร์บอนกัมมันต์และหลอดอัลตร้าไวโอเล็ทในระบบเดียวกัน
- คาร์บอนกัมมันต์คุณภาพสูงมีรูพรุนมากกว่าไส้กรองทั่วไป ซึ่งมีพื้นที่ผิวสัมผัสมากขึ้น 435,000 ตารางเมตร จึงดักจับสิ่งปนเปื้อนได้มากกว่า และกรองสิ่งปนเปื้อนที่มีขนาดเล็กถึง 0.2 ไมครอนได้มากถึง 160 ชนิด* แต่ยังคงแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงได้น้ำดื่มที่สะอาดและอุดมไปด้วยแร่ธาตุ
- ใช้เทคโนโลยีหลอดอัลตร้าไวโอเล็ท ที่กำจัดเชื้อโรค ไวรัส และแบคทีเรียได้ถึง 99.99%**
นอกจากนี้น้ำดื่มจากเครื่องกรองน้ำ eSpring มีราคาเฉลี่ยเพียงลิตรละ 1.50 บาท*** ประหยัดคุ้มค่ากว่าการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดมากถึงลิตรละ 7.50 บาท*** ชุดไส้กรอง eSpring กรองน้ำได้ถึง 5,000 ลิตร หรืออายุการใช้งาน 1 ปี พร้อมเทคโนโลยีสมาร์ทชิพ ช่วยแจ้งเตือนเมื่อเครื่องเกิดปัญหาหรือครบกำหนดเปลี่ยนไส้กรอง และระบบเชื่อมต่อไฟฟ้าแบบไร้สาย หมดกังวลเรื่องไฟรั่ว แถมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะระบบการกรองทำให้ไม่มีน้ำเหลือทิ้ง และยังช่วยลดขยะจากขวดพลาสติกได้จำนวนมหาศาลอีกด้วย
สิ่งสำคัญในการใช้เครื่องกรองน้ำคือ การเปลี่ยนไส้กรองและหลอดอัลตร้าไวโอเล็ทตามอายุการใช้งานที่กำหนด เพื่อให้วัสดุกรองดักจับสิ่งปนเปื้อนและความเข้มแสงยูวีกำจัดเชื้อโรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งแต่ละชนิดอาจมีอายุการใช้งานต่างกัน จึงควรเปลี่ยนทันทีเมื่อครบกำหนด เพื่อน้ำสะอาดปลอดภัยและเป็นผลดีต่อสุขภาพของทุกคนในบ้าน
*รับรองผลการทดสอบจากห้องทดลองอิสระ ตามมาตรฐานขององค์กรส่งเสริมอนามัยแห่งชาติระหว่างประเทศ NSF International คือ NSF/ANSI ที่ 42,53,55 และ 401 ตามมาตรฐานของสำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (The United States Environmental Protection Agency หรือ U.S EPA)
** แบคทีเรียตัวแทนที่ใช้อ้างอิงและทดสอบนี้ได้แก่ Raoultella Terrigena ไวรัสตัวแทนที่ใช้อ้างอิงและทดสอบนี้ ได้แก่ Poliovirus, Rotavirus, Coliphage MS-2 (ยกเว้นไวรัส Coliphage MS-2 ซึ่งเป็นไวรัสที่ไม่ก่อให้เกิดโรค (non-pathogenic virus) แต่ทนทานต่อการกำจัดเชื้อ ซึ่งสามารถกำจัดได้ 99.97%) รับรองผลการทดสอบจากห้องทดลองอิสระ ตามมาตรฐานของสำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (The United States Environmental Protection Agency หรือ U.S EPA)
*** คำนวณจากน้ำดื่มบรรจุขวดขนาด 1.5 ลิตร ราคา 14 บาท จากการสำรวจในร้านสะดวกซื้อเมื่อเดือนกันยายน 2565 ค่าใช้จ่ายประมาณการเฉลี่ยต่อปีจากการใช้งาน 10 ปี รวมค่าเครื่อง ชุดไส้กรอง ท่อนำน้ำ ค่าน้ำ ค่าไฟ ประมาณการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปี 7,500 บาท กรองน้ำได้ 5,000 ลิตรต่อปี
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่https://www.amway.co.th/p/espring
เรื่อง : วุฒิกร สุทธิอาภา
ภาพประกอบ : มนธีรา มนกลาง