“ลองชิมใบนี้สิ” คุณอ้อ ถนอมวรรณ สิงห์จุ้ย หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าพี่อ้อ ผู้ก่อตั้งฟาร์มสุขดอกไม้ไทย บอกกับเราขณะที่เธอยื่น “ใบผีเสือราตรี” ไม้ประดับยอดฮิตมาให้เราชิม แม้ใจจะยังกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็คิด เอาวะ!!! (คงไม่ตายหรอก) ทันทีที่เคี้ยวกลีบใบสีม่วงเข้มตามด้วยก้านใบ มันตราตรึงเหมือนเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เพิ่งค้นพบว่า รสชาติของใบผีเสื้อราตรีมันเหมือนกับการกินผลตะลิงปลิง
นอกจากใบผีเสื้อราตรี ยังมีดอกไม้ใบรสชาติเหมือนผลไม้อีกหลายชนิดที่เราได้ทดลองชิมกันสดๆ ในห้องบรรจุกล่องก่อนส่งต่อไปยังร้านอาหารชื่อดังในกรุงเทพฯ พร้อมๆ กับเสียงทวนออร์เด้ออย่างเร่งรีบเพื่อให้ส่งดอกไม้เหล่านั้นให้ทันเวลา
“พื้นที่ปลูกของฟาร์มสุขดอกไม้ไทยกินได้มันไม่มากนะ พี่เลือกปลูกเฉพาะที่ลูกค้าต้องการแล้วใช้เทคนิคการตัดแต่งดูแลให้ดอกไม้เหล่านี้ออกดอก การทำฟาร์มดอกไม้ไทยกินได้ของพี่จึงเป็นเรื่องของการศึกษาหาความรู้ เรียนรู้ อ่านงานวิจัย ทดลองปลูก และวางแผนการตลาด วางกลุ่มเป้าหมายชัดๆ มันเลยทำให้ควบคุมคุณภาพและปริมาณได้ตรงตามต้องการ ที่สำคัญเราต้องไม่หยุดเรียนรู้ ค้นหาศาสตร์ใหม่ๆ มาแนะนำลูกค้าที่สั่งดอกไม้ของเรา และเรียนรู้จากลูกค้าด้วย เมื่อเราเข้าใจทั้งเขาและเราก็เกื้อหนุนกันได้เรื่อยๆ มันเลยทำให้การทำเกษตรมีรายได้ที่สม่ำเสมอ”
“แต่ก่อนพี่ปลูกผักขายจะขายได้ก็ตอนเก็บเกี่ยว ราคานั้นไม่ต้องพูดถึงถูกแสนถูก แต่พอหันมาปลูกดอกไม้ไทยกินได้มันใช้ระยะเวลาปลูกก็จริง แต่ราคาขายตกอยู่ที่ดอกละ 1 บาท ในหนึ่งกล่องจะอยู่ที่ 50-100 ดอก(ขึ้นอยู่กับชนิด) แล้วตั้งเป้าเลยว่าจะส่งให้ร้านอาหารเท่านั้น สิ่งที่ร้านอาหารได้จากตรงนี้คือจะคุม cost ได้ เขาจะรู้ว่าใช้ cost ตกแต่งอยู่ที่กี่บาท มันเป็น Business Plan ของแต่ละร้านที่เราช่วยซัพพอร์ตเขา ช่วยให้เขาสามารถคุมต้นทุนได้ ในขณะเดียวกันหากทางเชฟต้องการดอกไม้ชนิดใดในแต่ละเมนู ซึ่งเปลี่ยนทุกซีซั่น เราก็จะวางแผนร่วมกันแล้วว่าจะใช้เมื่อไหร่ ต้องปลูกตอนไหน ใช้ดอกแบบไหน เพื่อให้ทั้งร้านอาหารและเราเดินไปด้วยกันได้ มันจึงจะเกิดความยั่งยืน”
พี่อ้อเล่าต่ออีกว่า คำแนะนำที่ให้กับลูกค้าก็สำคัญ อย่างบางร้านที่ยังไม่รู้ว่าจะใช้ดอกไม้ชนิดใดมาสั่งดอกไม้จากฟาร์มสุข จะได้คำแนะนำกลับไปเสมอ
“บางคนยังไม่รู้นะว่า การเลือกดอกไม้มาใช้เมนูแต่ละประเภทจะต้องใช้แตกต่างกัน อย่างกลุ่มอาหารจะเลือกใช้ดอกผักซึ่งดอกผักหรือดอกผลไม้จะให้รสชาติเหมือนผักหรือผลไม้ชนิดนั้นๆ ที่นิยมมากๆ ก็จะเป็นดอกโหระพา ดอกพริก ดอกผักชีลาว ดอกผักลีล้อม แต่หากเป็นสายคาเฟ่หรือบาร์ จะใช้ดอกไม้ตกแต่งเป็นหลัก จะต้องใช้ดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่นหรือไม่มีรสชาติ ไม่ให้กลิ่นรบกวนขนมเค้ก อย่างพวงชมพู หางนกยูงไทย เล็บมือนาง”
ต้นหางนกยูงไทยที่ออกดอกเรียงรายต้อนรับทีมงานเป็นซุ้มทางเดิน และซุ้มต้นพวงชมพู พวงชูพูดอกขาว เหมือนจะเป็นเพียงแค่ 2 โซนในสวนที่เห็นได้ชัดว่าปลูกดอกไม้ไทยกินได้ ส่วนอีกหลายสิบสายพันธุ์ปลูกคละในคูดินแยกเป็นกลุ่มๆ เช่น ช่อม่วง เล็บมือนาง อเมริกันบิ้วตี้ มาร์กาเร็ต ดาวกระจาย ทาร์รากอน และยังมีดอกไม้ให้กลิ่นหอมอย่างกระดังงา มะลิ กุหลาบมอญ สอดแทรกอยู่ในส่วนอื่นๆ ในสวนด้วย
“มีหลายคนถามว่าพี่ปลูกแค่นี้ทำไมเก็บขายได้ทุกวัน มันก็มีเทคนิคการปลูกด้วยการ “ทำสาว” หรือตัดแต่งกิ่งเมื่อถึงช่วงที่เหมาะ ต้นไม้ก็จะออกดอกตามธรรมชาติ แค่ต้นเดียวหากปลูกและดูแลถูกวิธีก็เก็บดอกได้ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว”
นอกจากเข้าใจความต้องการของลูกค้า สามารถผลิตดอกไม้ตรงตามกำหนดเวลาแล้ว คุณภาพของดอกไม้ในสวนก็สำคัญที่ทำให้ลูกค้าอยู่กับเราต่อยาวๆ ซึ่งพี่อ้อบอกเคล็ดลับไว้ว่า
“วิธีทำให้เก็บรักษาดอกไม้กินได้ให้อยู่ยาวนานเกือบสัปดาห์นั้น มันต้องเริ่มจากการปลูกก่อน ดอกไม้จากสวนต้องแข็งแรง ด้วยการดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย เวลาในการเก็บดอก วิธีการตัดดอก พอถึงมือเชฟแค่เก็บรักษาความเย็นในตู้เย็นก็อยู่ได้ยาวนานแล้ว”
ดอกไม้กินได้สื่อถึงวัฒนธรรมการกินที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ยังเป็นศาสตร์ของการปรุงอาหารทั้ง กลิ่น รูป รส หากเข้าใจและเรียนรู้อย่างลึกซึ้งก็สามารถต่อยอดให้เกิดเป็นธุรกิจการเกษตรในอีกสาขาที่มีมูลค่าและน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
มิติที่หลากหลายของดอกไม้กินได้ ถ่ายทอดสู่ไอเดียจัดสวนในโซน Garden&Farm ในงานบ้านและสวนแฟร์ select ภายใต้คอนเซ็ปต์ Farming Together
ดอกไม้ ใบไม้ รสชาติเหมือนผลไม้ อีกหนึ่งความแปลกใหม่ของวัฒนธรรมการกินดอกไม้ที่จะพาไปเปิดประสบการณ์ในมุม Veggie Tower การจำลองพื้นที่ในเมือง ในรูปแบบ Farm-Sharing Space ที่เปิดให้ทุกคนเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ แลกเปลี่ยน พักผ่อน พร้อมเติมไอเดียการปลูกผักคนเมืองด้วยเกร็ดความรู้ต่างๆ เช่น ผักปลูกง่าย 50 วันได้กิน, ผักหาอาหารเก่งปลูกง่ายไม่ต้องปรุงดินใหม่ , ผักพี่เลี้ยง ปลูกคู่ให้ดูแลกัน, ผักปลูกแล้วคุ้ม ครั้งเดียวเก็บกินได้นาน , ดอกไม้ล่อแมลงดี