ครั้งนี้ขอพาไปเที่ยวชม พระราชวังไทย ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็น 3 วังที่เรียกได้ว่าซ่อนตัวอยู่ คุณผู้อ่านหลายท่านคงสงสัยว่าวังทั้งวังจะซ่อนอยู่ได้อย่างไร แห่งแรกและแห่งที่สอง คือ“วังบางขุนพรหม” และ “วังเทวะเวสม์” ตั้งอยู่ในพื้นที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนแห่งที่สาม “พระราชวังเดิม” ตั้งอยู่ในพื้นที่ของกองทัพเรือ คนทั่วไปจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าไปชื่นชมสักเท่าใดนัก บ้านและสวน ขอพาทุกท่านไปสัมผัสความงดงามอลังการแห่งงานศิลปสถาปัตย์และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจกันครับ
วังบางขุนพรหมและวังเทวะเวสม์
หนึ่งใน พระราชวังไทย อยู่ภายในพื้นที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นเป็นที่ตั้งของวังที่มีความงดงามถึงสองวัง ได้แก่ วังบางขุนพรหมและวังเทวะเวสม์ โดย วังบางขุนพรหม เดิมเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 รัฐบาลได้โอนวังบางขุนพรหมเป็นของกระทรวงกลาโหม และในปี พ.ศ. 2488 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ย้ายเข้าไปตั้งในบริเวณวังบางขุนพรหม และเป็นที่ตั้งของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ในปี พ.ศ.2497
งานศิลปะและสถาปัตยกรรมของวังแห่งนี้เป็นแบบยุโรป เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้พระราชโอรสไปทรงศึกษาที่ต่างประเทศ เพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาบ้านเมือง ในยุคนั้นจึงได้รับวัฒนธรรมจากชาติตะวันตกเข้ามาค่อนข้างมาก
เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้บูรณะและทาสีวังบางขุนพรหมใหม่ทุก 5 ปี วังแห่งนี้จึงยังคงความสมบูรณ์และงดงามอยู่มาก ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเงินตราไทย มีห้องประวัติและการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งห้องต่างๆ อาทิ ห้องสีชมพู เป็นห้องรับรองพระราชอาคันตุกะ ห้องสีน้ำเงิน เป็นที่ประดิษฐานพระรูปหล่อสัมริดของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ ห้องวิวัฒนไชยานุสรณ์ เป็นห้องทำงานของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยพระองค์แรก คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
ในบริเวณใกล้เคียงยังมีอีกหนึ่งวังที่สวยงามไม่แพ้กัน นั่นคือ วังเทวะเวสม์ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2461 โดยสถาปนิกชาวอังกฤษชื่อเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ และเคยใช้เป็นที่ทำการกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ.2493 และเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานใหญ่ธนาคารแห่งประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2529
พระราชวังเดิม
จากฝั่งกรุงเทพฯคราวนี้ผมขอข้ามมายังฝั่งธนบุรีบ้าง ณ กองทัพเรือ ถนนอรุณอมรินทร์ อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังเดิม ตามประวัติแล้ว หลังการกอบกู้เอกราชในปี พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงเลือกชัยภูมิทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อตั้งราชธานีใหม่นามว่า “กรุงธนบุรี” และโปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชวังหลวง เพื่อใช้เป็นสถานที่ประทับและว่าราชการแผ่นดิน
อาณาเขตของพระราชวังเดิมในสมัยนั้นมีพื้นที่ตั้งแต่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ขึ้นมาจนถึงคลองเหนือวัดอรุณราชวราราม (คลองนครบาล) โดยรวมวัดอรุณราชวรารามและวัดโมลีโลกยารามเข้าไปในเขตพระราชวังด้วย ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ณ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระราชวังกรุงธนบุรีจึงได้รับการเรียกขานว่า “พระราชวังเดิม” นับแต่นั้นมา โดยมีการกำหนดขอบเขตของพระราชวังให้แคบลง ด้วยการให้วัดอรุณราชวรารามและวัดโมลีโลกยารามอยู่ภายนอกพระราชวัง ตลอดช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นพระราชวังแห่งนี้ใช้เป็นที่ประทับของพระราชวงศ์ชั้นสูง กระทั่งในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือจนถึงปี พ.ศ.2484 จึงใช้เป็นกองบัญชาการกองทัพเรือ
สำหรับโบราณสถานสำคัญที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นในพระราชวังเดิม คือ ท้องพระโรง ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระตำหนักเก๋งคู่หลังเล็ก พระตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ ป้อมวิชัยประสิทธิ์ ศาลศีรษะปลาวาฬ และเรือนเขียว โดยรูปแบบงานศิลปะและสถาปัตยกรรมของพระราชวังแห่งนี้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากจีน เพราะในช่วงนั้นประเทศเราได้เจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน ส่งผลให้ตึกรามบ้านช่องในยุคนั้นก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปวัฒนธรรมจีนเช่นกัน
เรื่อง : พงศ์ธร รัตนประทีป
ภาพ : ชัยพฤกษ์ โพธิ์แดง