อยากมี โรงเรือนข้างบ้าน สักหลัง จะเริ่มออกแบบอย่างไร? เลือกใช้วัสดุแบบไหนดี? มีข้อควรรู้อะไรบ้าง?
เชื่อว่าหลายคนที่ชื่นชอบการจัดสวน คงเคยนึกอยากทำโรงเรือนสวยๆ ไว้ในสวนข้างบ้านของตัวเองสักหลัง ไว้เป็นเรือนเพาะชำไม้ประดับยามว่าง ปลูกผักกินเองในบ้าน หรือเป็นมุมพักผ่อนส่วนตัว แต่อาจยังลังเลว่าหากตัดสินใจทำแล้ว ควรเริ่มออกแบบอย่างไร บ้านและสวน จึงขอนำเอา 10 เรื่องต้องรู้ก่อนทำ โรงเรือนข้างบ้าน มาฝากกัน
1 | “โรงเรือน” คืออะไร
โรงเรือน เป็นอาคารที่มุงด้วยวัสดุโปร่งแสง พื้นที่ภายในใช้สำหรับปลูกพืช เพื่อปกป้องและควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับพืชที่ปลูกได้ โดยในยุคแรกๆ จะใช้กระจกเป็นวัสดุกรุผิว เมื่อมองจากด้านนอกจะเห็นพืชสีเขียวอยู่ภายใน จึงทำให้มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า Greenhouse หรือ Glasshouse นั่นเอง ปัจจุบัน โรงเรือนถูกพัฒนาไปจนมีลักษณะรวมถึงการใช้วัสดุหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการใช้งาน ทั้งเพื่อผลิตในเชิงการค้า การเพาะปลูกภายในครัวเรือน หรือการใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจในสวนข้างบ้าน
2 | โรงเรือนดีอย่างไร ทำไมต้องมี
ควบคุมสภาพแวดล้อมได้
การเพาะปลูกพืชภายใต้สภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ ถือเป็นจุดประสงค์หลักของโรงเรือน ทั้งความเข้มและระยะเวลาของแสงแดด อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ รวมทั้งหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่มีความแปรปรวน ทำให้สามารถปลูกพืชนอกฤดูได้ตลอดทั้งปี
เหมาะสำหรับทำงานเพาะปลูก
ภายในโรงเรือนสามารถจัดสรรพื้นที่ได้อย่างเป็นสัดส่วน สะดวกต่อการทำงานสวน ทั้งโต๊ะสำหรับเพาะชำ พื้นที่วางต้นไม้ พื้นที่เก็บเครื่องมือ รวมถึงติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ได้ง่าย เช่น อุปกรณ์ในการแขวนผล หรือพยุงลำต้น
ปกป้องพืชจากโรคและสัตว์รบกวน
การปลูกในโรงเรือนช่วยป้องกันพืชของเราจากนก หนู กระรอก หรือแม้แต่หมาแมวที่เราเลี้ยง ที่อาจเข้ามากัดกินหรือทำลายพืชผัก รวมถึงป้องกันโรคพืชและแมลงรบกวนได้บางส่วน จึงช่วยลดการใช้สารเคมี ทำให้ผลผลิตปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง
พื้นที่พักผ่อนท่ามกลางพรรณไม้
นอกจากเพื่อการเพาะปลูกแล้ว บรรยากาศที่สวยงามภายในยังทำให้โรงเรือนสามารถเป็นห้องอเนกประสงค์สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจหรือใช้งานรูปแบบอื่นๆ เช่น เป็นมุมจิบกาแฟในสวน มุมนั่งอ่านหนังสือนอกบ้าน หรือเปิดเป็นคาเฟ่ในเรือนกระจกก็ทำได้เช่นกัน
3 | โรงเรือนข้างบ้าน ทำได้หลายขนาด
ปัจจุบัน มีตัวอย่าง โรงเรือนข้างบ้านสำหรับบ้านพักอาศัยให้เห็นมากมายหลายขนาด ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งาน งบประมาณ และพื้นที่ว่างนอกบ้านที่สามารถทำโรงเรือนได้ โดยอาจแบ่งออกได้เป็น 4 ขนาด ตามตัวอย่างดังต่อไปนี้
ไซซ์ L – โรงเรือนใหญ่ในบ้านสวน
สำหรับบ้านที่มีพื้นที่กว้างๆ สามารถสร้างโรงเรือนหลังใหญ่แบบนี้ได้ โดยภายในสามารถจัดสรรพื้นที่ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งเป็นโรงเรือนเพื่อปลูกพืชเชิงการค้า หรือเป็นเรือนสะสมพันธุ์ไม้ในสวนพฤกษศาสตร์ส่วนตัว ที่เป็นทั้งพื้นที่เพาะชำ เก็บอุปกรณ์ และเรือนอเนกประสงค์ที่สวยงามร่มรื่น
ขนาด : กว้าง 3-4 เมตร ยาวมากกว่า 4-10 เมตรขึ้นไป คานสูงไม่ต่ำกว่า 2.20 เมตร
ไซซ์ M – โรงเรือนเล็กแบบบ้านคนเมือง
บ้านในเมืองส่วนใหญ่อาจไม่มีพื้นที่ว่างมากนัก โรงเรือนหลังเล็กพื้นที่ประมาณ 6 ตารางเมตรเช่นนี้ จึงเหมาะสำหรับเป็นทั้งเรือนปลูกผักขนาดย่อมสำหรับกินเองในบ้าน หรือเป็นเรือนปลูกไม้กระถางสวยๆ รวมถึงมุมเล็กๆ สำหรับนั่งเล่นท่ามกลางพืชผักนานาชนิด
ขนาด : กว้าง 2-3 เมตร ยาว 3-4 เมตร คานสูงไม่ต่ำกว่า 2.20 เมตร
ไซซ์ S – โรงเรือนแบบเพิงพิงผนัง
พื้นที่แคบๆ ข้างบ้านก็สามารถทำโรงเรือนแบบเพิงพิงผนังได้เช่นกัน โดยปรับระดับพื้นและปูด้วยวัสดุตามที่ต้องการ ตั้งโครงสร้างเสา-คานพาดกับผนัง มุงหลังคาด้วยวัสดุโปร่งแสงพร้อมยาซิลิโคนกันน้ำรั่วซึมบริเวณรอยต่อที่ติดกับผนังบ้าน
ขนาด : ลึก 1.50 เมตร คานสูงไม่ต่ำกว่า 2.20 เมตร ความยาวขึ้นอยู่กับพื้นที่
ไซซ์ XS – โรงเรือนกระบะข้างรั้ว
ส่วนบ้านที่ไม่มีพื้นที่ว่างมากพอสำหรับตั้งโรงเรือน ก็สามารถสร้างโรงเรือนในรูปแบบกระบะปลูกต้นไม้ในห้องปิดได้เช่นกัน โดยก่อผนังสูงขึ้นมาจากพื้นให้ลาดเอียงจากด้านหลังลงไปด้านหน้า ติดตั้งหน้าต่างโปร่งแสงที่สามารถยกเปิด-ปิดได้คล้ายกับตู้เตี้ยๆ เพื่อปลูกพืชด้านใน
ขนาด : ลึก 60 เซนติเมตร สูง 30-50 เซนติเมตร ความยาวขึ้นอยู่กับพื้นที่
4 | เลือกที่ตั้งโรงเรือนให้ถูกทิศถูกทาง
การตั้งโรงเรือนในพื้นที่จำกัด
อาจไม่ต้องดูเรื่องทิศทางมากนัก แต่ควรคำนึงถึงสภาพแสงที่พอเหมาะ ไม่มืดทึบจนเกินไป หากอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ก็ควรตัดแต่งกิ่งให้เรียบร้อย เพราะร่มไม้อาจจำกัดแสงสว่าง รวมถึงกิ่งที่ผุก็อาจหักร่วงลงมาจนเกิดความเสียหายแก่โรงเรือนด้วย
ไม่ตั้งโรงเรือนขวางทางลม
เนื่องจากลมแรงอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อวัสดุโรงเรือนในที่โล่งได้ อาจป้องกันด้วยการปลูกต้นไม้เป็นแนวกันลม แต่ก็ไม่ควรตั้งโรงเรือนในพื้นที่อับลมด้วยเช่นกัน เพราะจะส่งผลต่อการระบายอากาศ ทำให้เกิดโรคและแมลงรบกวนตามมา
วางโรงเรือนในแนวเหนือ-ใต้
หากไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ การวางเรือนตามแนวเหนือ-ใต้จะทำให้ต้นไม้ภายในโรงเรือนได้รับแสงสว่างอย่างทั่วถึง และมีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอ รวมทั้งทำให้ลมหมุนเวียนภายในโรงเรือนได้ดีด้วย
หลีกเลี่ยงการสร้างบริเวณเนินเขา
ควรตั้งโรงเรือนบนพื้นที่ราบเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาบริเวณฐานรากจากดินสไลด์ หากจำเป็นต้องตั้งบริเวณเนินเขา ควรดูทิศทางการไหลของน้ำ และหลีกเลี่ยงการตั้งโรงเรือนตรงจุดที่เป็นทางน้ำ หรือมีน้ำไหลผ่านเป็นประจำในหน้าฝน
5 | จัดสรรพื้นที่ภายในโรงเรือน
พื้นที่ในโรงเรือนอาจแบ่งตามการใช้งานออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่
ส่วนปลูกพืช
อาจมีลักษณะเป็นแปลงปลูกลงดิน โต๊ะหรือชั้นวางกระถาง หรือราวแขวนก็ได้ ควรจัดให้สามารถเข้าไปใช้งานสะดวกทุกจุด ระบายน้ำได้ดี มีแสงส่องลงมายังต้นไม้ที่ปลูก หากมีพื้นที่มากพออาจแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
ส่วนทำงาน
ภายในโรงเรือนควรมีโต๊ะที่จัดพื้นที่สำหรับทำงานเพาะปลูก โดยมีอ่างหรือถาดผสมดินปลูก เว้นพื้นที่ด้านข้างสำหรับวางต้นไม้ที่นำมาเพาะหรือย้ายปลูก และหากมีอ่างล้างมืออยู่ใกล้ๆ ด้วยก็จะสะดวกต่อการใช้งานอย่างมาก
ส่วนจัดเก็บอุปกรณ์
ควรเป็นพื้นที่แห้ง สะอาด และปูพื้นแข็งเพื่อป้องกันความชื้นที่อาจทำให้เครื่องมือต่างๆ เสื่อมสภาพ ส่วนสารเคมีต่างๆ ควรเก็บไว้บนที่สูง หรือเก็บไว้ในตู้ที่มิดชิดไม่โดนแสงแดด นอกจากนี้ยังควรเตรียมพื้นที่สำหรับงานระบบพิเศษ (ถ้ามี) เช่น ถังผสมปุ๋ย รวมถึงพื้นที่วางเครื่องจักรสำหรับงานสวน เช่น เครื่องตัดหญ้า ไว้ตรงส่วนแห้งที่มีหลังคาคลุมด้วย
ระยะต่างๆ ในโรงเรือน
- ความสูงโรงเรือน (จากพื้นถึงระดับคาน) ไม่ควรต่ำกว่า 2-2.50 เมตร
- ความกว้างโต๊ะ (เอื้อมได้จากด้านเดียว) 60-70 เซนติเมตร
- ความกว้างโต๊ะ (เอื้อมได้จากทั้งสองด้าน) กว้างได้ถึง 140 เซนติเมตร
- ความสูงโต๊ะ 70-80 เซนติเมตร
- ราวแขวน สูงจากพื้น 2 เมตร โดยแขวนให้ต้นไม้อยู่ในระดับสายตา
- ชั้นวางต้นไม้ สูง 1.60 เมตร กว้าง 40 เซนติเมตร
- ทางเดิน กว้างอย่างน้อย 80 เซนติเมตร หรือ 1-1.20 เมตร สำหรับใช้รถเข็น
6 | หลังคาโรงเรือนไม่ได้มีแค่ทรงจั่ว
สำหรับโรงเรือนเดี่ยวแล้ว โดยทั่วไปมักใช้หลังคาทรงจั่วที่เรียบง่าย แต่จริงๆ แล้วหลังคาโรงเรือนยังมีอีกหลายรูปทรง ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เช่น
หลังคาจั่ว
หลังคาทรงดั้งเดิมที่นิยมใช้ในเขตอบอุ่นและเขตหนาว อาจออกแบบให้สามารถเปิดได้เพื่อระบายอากาศร้อนที่เกิดขึ้นภายในโรงเรือน
หลังคาจั่วสองชั้น
ช่วยให้อากาศร้อนภายในโรงเรือนระบายออกได้ดียิ่งขึ้น โดยที่น้ำไม่สาดเข้าด้านในโรงเรือนเมื่อมีฝนตก เหมาะสำหรับพื้นที่เขตร้อนอย่างในประเทศไทย
หลังคาครึ่งวงกลม (Quonset)
ก่อสร้างได้ง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับการมุงหลังคาด้วยวัสดุที่โค้งงอง่าย เช่น แผ่นพลาสติก แต่ระบายอากาศร้อนได้ยาก จึงนิยมใช้ในพื้นที่อากาศหนาวเย็น
หลังคาฟันเลื่อย (Sawtooth)
ถูกออกแบบให้ระบายอากาศร้อนได้ดีด้วยช่องที่เปิดกว้างด้านบน จึงเหมาะสำหรับพื้นที่เขตร้อนอย่างในประเทศไทย นิยมใช้ในโรงเรือนที่ปลูกพืชเชิงการค้า
หลังคาทรงโดม (Dome)
มักใช้เป็นจุดเด่นทางสถาปัตยกรรมภายในสวนพฤกษศาสตร์หรือสถาบันวิจัย ไม่นิยมใช้สำหรับการปลูกพืชเชิงการค้า เพราะสามารถสร้างได้ในขนาดที่จำกัด
7 | วัสดุโครงสร้างต้องแข็งแรงคุ้มค่า
โครงสร้างโรงเรือน มีหน้าที่รองรับวัสดุผนังและหลังคาซึ่งปกป้องพืชด้านในจากทั้งแสงแดด พายุฝน ลมแรง และสัตว์นานาชนิด จึงแข็งแรงและทนทานต่อสภาพอากาศที่หลากหลาย โดยวัสดุที่ได้รับความนิยม ได้แก่
เหล็ก
- ข้อดี : แข็งแรงทนทาน สร้างได้รวดเร็ว สามารถตัด ดัด เชื่อม ทำสีได้ตามดีไซน์ที่ต้องการ
- ข้อจำกัด : เป็นสนิม ทำให้ต้องขัดและทาสีใหม่อยู่เสมอ ปัจจุบันมีราคาสูงขึ้น แต่ยังถือว่าคุ้มค่ากับการใช้งาน
ไม้
- ข้อดี : สามารถสร้างด้วยตัวเองโดยใช้เครื่องมือเพียงไม่กี่อย่าง ให้ความรู้สึกอบอุ่น สวยงาม
- ข้อจำกัด : อายุการใช้งานสั้นกว่าวัสดุอื่นๆ สำหรับพื้นที่กลางแจ้ง ควรระวังไม่ให้สัมผัสดินหรือความชื้นโดยตรง เพื่อไม่ให้ไม้ผุพังง่าย
อะลูมิเนียม
- ข้อดี : น้ำหนักเบา แต่ทนทาน ติดตั้งง่าย ไม่เป็นสนิม ดูเรียบร้อยสวยงาม นิยมใช้คู่กับกระจก
- ข้อจำกัด : ราคาสูง ต้องสั่งประกอบจากโรงงานก่อนนำมาติดตั้งที่หน้างานโดยช่าง
เหล็กชุบสังกะสี
- ข้อดี : แข็งแรงทนทาน ไม่เป็นสนิมง่าย สามารถใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องทาสีรองพื้น
- ข้อจำกัด : ราคาสูงกว่าเหล็ก 15-25% แต่ก็ถือว่าช่วยลดต้นทุนในการทำสีลงด้วยเช่นนั้น
8 | วัสดุโปร่งแสงสำหรับผนัง-หลังคา
ลักษณะเฉพาะของโรงเรือนปลูกพืช คือการใช้วัสดุโปร่งแสงสำหรับผนังและหลังคา เพื่อให้แสงส่องเข้ามาด้านในได้ ปัจจุบัน มีวัสดุโปร่งแสงหลายชนิดที่เป็นที่นิยม โดยมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป เช่น
กระจก
- ข้อดี : เป็นวัสดุที่แสงส่องผ่านได้ดีที่สุด ทนทานต่อรังสีต่างๆ จากดวงอาทิตย์
- ข้อจำกัด : ไม่ทนแรงกระแทก มีน้ำหนักมาก ทำให้ต้องใช้โครงสร้างที่แข็งแรงเป็นพิเศษและมีค่าก่อสร้างสูง
พอลิคาร์บอเนต
- ข้อดี : โค้งงอได้ น้ำหนักเบา ติดตั้งรวดเร็ว มีการเคลือบสารกันยูวี ทำให้ใช้งานได้ยาวนาน
- ข้อจำกัด : ราคาสูง รุ่นลอนลูกฟูกจำเป็นต้องเก็บขอบให้มิดชิด ไม่ให้เกิดคราบสกปรกในร่องซึ่งทำความสะอาดได้ยาก
ไฟเบอร์กลาส
- ข้อดี : ราคาถูก เส้นใยไฟเบอร์ทำให้แสงที่ส่องลงมามีความนุ่มนวล เนื้อวัสดุเหนียว ใช้งานได้ยาวนาน
- ข้อจำกัด : เส้นใยอาจทำให้แสงส่องลงมาไม่เต็มที่ จึงไม่เหมาะกับพืชที่ต้องการแสงปริมาณมาก
อะคริลิก
- ข้อดี : แข็งแรง ทนทาน มีความใสใกล้เคียงกับกระจก มีรุ่นที่สามารถกันความร้อนและรังสียูวีให้เลือกใช้
- ข้อจำกัด : ราคาสูง ทนแรงกระแทกได้ไม่มาก ไม่ยืดหยุ่น วัสดุมีการขยายตัว จึงต้องมีการเว้นระยะระหว่างแผ่นเมื่อติดตั้ง
9 | วัสดุพื้นต้องไม่ลื่น ระบายน้ำได้
ก่อนปูวัสดุพื้น ควรเตรียมพื้นโรงเรือนโดยอัดดินให้แน่น แล้วจึงอัดทรายหนา 5-10 เซนติเมตร ทำพื้นลาดเอียงเล็กน้อยเพื่อให้ระบายน้ำได้สะดวก จากนั้นจึงปูวัสดุพื้น โดยเลือกวัสดุที่มีผิวหยาบ ไม่ลื่น เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้งาน ยกตัวอย่างวัสดุที่นิยมใช้กัน เช่น
หินเกล็ด/กรวดขนาดเล็ก
มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชื้น และระบายน้ำได้ดี อีกทั้งยังราคาประหยัดด้วย ปูโดยการวางตะแกรงพลาสติกเหนือชั้นทรายอัด แล้วโรยหินหรือกรวดหนา 5-10 เซนติเมตร
แผ่นปูพื้นสำเร็จ
มีให้เลือกหลายชนิด เช่น อิฐตัวหนอน แผ่นคอนกรีต แผ่นหินทราย บล็อกพรุน เป็นวัสดุที่ดูเรียบร้อยสวยงาม และน้ำยังสามารถไหลผ่านลงไปด้านล่างได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังติดตั้งได้ง่าย ไว สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างสะดวก
พื้นคอนกรีตปูกระเบื้อง
นิยมใช้กับพื้นโรงเรือนที่ต้องการความแข็งแรงและสะอาดเรียบร้อย ป้องการหนูและแมลงจากด้านล่าง แต่มีข้อจำกัดคือ พื้นประเภทนี้จะไม่ช่วยเก็บความชื้น และควรเตรียมระบบระบายน้ำให้ดีตั้งแต่ต้น
อิฐมอญ/ศิลาแลง
เป็นวัสดุที่สร้างความสวยงามเป็นธรรมชาติ ช่วยกักเก็บความชื้น ระบายน้ำได้ง่าย แต่ควรปล่อยให้พื้นแห้งบ้าง เพราะหากชื้นเกินไปอาจเกิดตะไคร่ที่ทำให้พื้นลื่นจนเป็นอันตรายได้
ไม้เนื้อแข็ง/ไม้สังเคราะห์
วัสดุอีกประเภทที่ช่วยสร้างบรรยากาศสบายๆ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน การติดตั้งควรยกพื้นไม้ไม่ให้สัมผัสพื้นดินโดยตรงหรือวางบนพื้นคอนกรีต เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากความชื้น หากเป็นไม้จริงควรเลือกไม้เนื้อแข็งเพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนาน อีกตัวเลือกหนึ่งคือ การใช้ไม้สังเคราะห์ที่ให้ผิวสัมผัสใกล้เคียงไม้จริง ไม่ผุง่าย ไม่มีปัญหาแมลงและปลวก อีกทั้งยังสามารถใช้งานกลางแจ้งได้ดีเพราะมีการผสมสารป้องกันแสงแดดในตัว
สร้างโรงเรือน ต้องลงเสาเข็มหรือไม่?
โรงเรือนโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องลงเสาเข็ม เว้นแต่ว่าดินในบริเวณนั้นมีลักษณะทรุด อ่อนตัว หรือเป็นพื้นดินที่เพิ่งถมได้ไม่นาน (เช่น ในโครงการบ้านจัดสรร) อาจลงเสาเข็มขนาด 3-6 เมตรร่วมด้วย
สำหรับโรงเรือนที่ไม่ได้ลงเสาเข็ม ควรเตรียมพื้นให้แข็งแรงด้วยการทำคานคอดินก่อนปูวัสดุพื้น หากที่ตั้งเป็นพื้นแข็งอยู่แล้ว เช่น ลานคอนกรีต สามารถตั้งโรงเรือนที่มีน้ำหนักไม่มากนักโดยยึดกับพื้นด้วยเพลตเหล็กง่ายๆ หรือวางลอยตัวบนพื้นได้เลย
10 | ติดตั้งระบบน้ำ-ไฟในโรงเรือน
แม้โรงเรือนข้างบ้านจะไม่มีงานระบบซับซ้อนเหมือนโรงเรือนที่เพาะปลูกเชิงการค้า แต่ก็ควรมีการวางระบบน้ำและระบบไฟให้เรียบร้อยเพื่อความสะดวกในการใช้งานด้วยเช่นกัน
ระบบน้ำ
ควรมีการเดินระบบน้ำเข้ามาใช้ภายในหรือด้านหน้าโรงเรือน สำหรับไม้ประดับบางชนิดที่ไม่ควรใช้น้ำประปาโดยตรง อาจเตรียมถังพักน้ำเอาไว้ก่อนสูบมารดต้นไม้ด้วย หากไม่มีเวลาหรือมีต้นไม้จำนวนมาก อาจติดตั้งระบบให้น้ำอัตโนมัติแบบมินิสปริงเกลอร์หรือแบบน้ำหยด หากต้องการเพิ่มความชื้นและลดอุณหภูมิ อาจติดตั้งหัวพ่นหมอกภายในโรงเรือนด้วยก็ได้ สามารถติดตั้งเองได้ง่ายๆ โดยหาซื้อชุดระบบน้ำแบบต่างๆ พร้อมอุปกรณ์ครบชุด ได้ที่ร้านจำหน่ายสินค้าก่อสร้างทั่วไป
ระบบไฟ
ระบบไฟสำหรับโรงเรือนควรติดเบรกเกอร์แยกจากตัวบ้าน ภายในโรงเรือนควรมีปลั๊กไฟชนิดใช้งานภายนอกพร้อมฝาครอบกันน้ำ โดยติดตั้งสูงจากพื้น 1.20 เมตร และติดตั้งสายดินเพื่อความปลอดภัย อุปกรณ์ที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าภายในโรงเรือน ได้แก่ ไฟส่องสว่าง พัดลมระบายอากาศ ปลั๊กไฟ ม่านม้วนไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยรีโมต และเครื่องตั้งเวลารดน้ำอัตโนมัติ (ไทเมอร์)
ระบบโรงเรือนอัจฉริยะ คืออะไร?
สำหรับระบบโรงเรือนอัจฉริยะที่เราอาจได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ในปัจจุบัน เป็นนวัตกรรมที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากสำหรับการปลูกพืชเชิงการค้า โดยเป็นระบบที่เราสามารถตรวจสอบสภาพแวดล้อมผ่านเซนเซอร์และควบคุมปัจจัยต่างๆ ในการปลูกพืชภายในโรงเรือนได้ผ่านสมาร์ทโฟน ทั้งแสง ความชื้น อุณหภูมิ การระบายอากาศ รวมถึงระบบอื่นๆ เช่น ระบบป้องกันแมลงรบกวน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ:
- โรงเรือนในสวน ต้นไม้ในบ้าน
สั่งซื้อได้ที่ https://www.naiin.com/product/detail/533441
- GARDEN & FARM Vol.10 โรงเรือนข้างบ้าน
สั่งซื้อได้ที่ https://www.naiin.com/product/detail/216418/
เรื่อง – Tinnakrit
ภาพ – คลังภาพบ้านและสวน