โรงเรือนแคคตัส งบ 5 แสน ของคุณหมอนักสะสม
คุณหมอเอ-จิราภรณ์ เฟื่องทวีโชค แพทย์หญิงในจังหวัดอุดรธานี คือนักสะสมแคคตัสและไม้อวบน้ำที่เริ่มแรกนั้นเธอแทบไม่มีความรู้เรื่องต้นไม้มาก่อนเลย เพียงแต่ต้องการทำงานอดิเรกในช่วงที่ว่างเท่านั้น
โดยมีจุดเริ่มต้นจากแคคตัสหนึ่งถาดที่วางทิ้งในโรงเรือนที่แทบไม่ได้ใช้งาน จนกลายมาเป็นงานอดิเรกแสนรักที่ปลุกความสนุกในการทดลองอะไรใหม่ ๆ พร้อมกับโรงเรือนที่ตั้งใจออกแบบมา เพื่อให้คนได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับต้นไม้ได้อย่างสะดวกสบาย
เริ่มต้นจากแค่อยากมีโรงเรือน
แรกเริ่มเดิมทีคุณหมอเอเป็นเพียงคนที่ชื่นชอบ การแต่งบ้านและอยากมีบ้านในฝันสไตล์อเมริกันคันทรี ในที่สุดก็เริ่มวางผังและออกแบบบ้านหลังใหม่ขึ้นองค์ประกอบหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือโรงเรือนเพาะชำต้นไม้ที่เธอมองว่าในวันหนึ่งอาจใช้เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมในวัยเกษียณ เช่น ปลูกต้นไม้ ทว่าต้นไม้ส่วนใหญ่ในประเทศไทยก็สามารถเจริญเติบโตได้โดยไม่จำเป็นต้องปลูกในโรงเรือน ในที่สุดก็ไม่ค่อยได้ใช้งานจริงสักเท่าไร
วันหนึ่งน้องชายของคุณหมอเอ ซึ่งชื่นชอบการเลี้ยงสัตว์ รวมถึงการปลูกต้นไม้ ได้นำแคคตัสมาให้ 1 ถาด ตอนแรกเธอนำไปวางทิ้งไว้ในโรงเรือนโดยไม่ได้สนใจ กระทั่งเมื่อเดินมาดูอีกที แคคตัสในถาดเจริญเติบโตได้ดี จึงเปลี่ยนนำมาใส่กระถางดินเผาและค่อย ๆ ตั้งวางเรียงรายในโรงเรือน จาก 1 ถาดเป็น 2 ถาด และต่อยอดไปอีกหลาย ๆ ต้นในเวลาต่อมา ทำให้คุณหมอเอกลับมาใช้งานโรงเรือนมากขึ้น เธอทดลองปลูกเลี้ยงทั้งแคคตัสและไม้อวบน้ำ โดยหาความรู้จากหลากหลายช่องทาง จนกลายเป็นงานอดิเรกที่ทำให้เธอมีความสุขและรู้สึกผ่อนคลาย
“หลังจากโรงเรือนหลังแรกเต็ม เราก็มาทำเพิ่มอีกหลังเพื่อขยายพันธุ์ใหม่มากขึ้น เราชอบแคคตัสสกุลยิมโนคาไลเซียม (Gymnocalycium) เพราะสนุกกับการผสมพันธุ์ให้เกิดสีสันและลวดลายที่มีความเฉพาะตัวในแบบของเราเอง รู้สึกเหมือนได้เป็นศิลปินที่รังสรรค์ให้เกิดสีสันที่เป็นเอกลักษณ์สวยงามบนแคคตัสของเราเอง”
โครงสร้างและวัสดุทำโรงเรือน
คุณหมอเอใช้งบประมาณส่วนใหญ่ในการเปลี่ยนหลังคาของโรงเรือนหลังเดิมที่มีปัญหารั่วซึม จนทำให้แคคตัสที่ตั้งในบริเวณที่้ำหยดเริ่มประสบปัญหารากเน่าและตายในที่สุด โดยเปลี่ยนมาใช้แผ่นอะคริลิกใสที่แข็งแรงและทนทานสามารถใช้งานได้เป็นระยะเวลานาน มีซาแรนสีขาวที่ช่วยกรองแสงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และยังใช้โครงสร้างเหล็กทาสีขาวอมเทาเช่นเดียวกับสีที่ทาในบ้าน คลุมด้วยผนังมุ้งลวดและผ้าใบพลาสติกใสโดยรอบ สามารถดึงขึ้นเพื่อเปิดโล่ง และดึงลงมาคลุมเพื่อป้องกันความชื้นหรือศัตรูพืชภายนอก
พื้นปูไม้เทียมแผ่นยาวเช่นเดียวกับพื้นระเบียงบ้านเพื่อให้ความรู้สึกเชื่อมถึงตัวบ้าน โดยมีร่องสำหรับระบายน้ำรอบด้าน เมื่อรดน้ำจึงไม่เกิดน้ำท่วมขังและเป็นอันตรายกับคนที่ใช้งาน อีกทั้งยังทำให้อากาศในโรงเรือนแห้งและไม่เกิดโรคจากความชื้น ซึ่งพบได้บ่อยในแคคตัสและไม้อวบน้ำ
เทคนิคการดูแลต้นไม้
“สำหรับแคคตัสสกุลยิมโนคาไลเซียมจะชื่นชอบแสงรำไรถึงแดดจัด อากาศถ่ายเท ยิ่งอากาศเปลี่ยนจากกลางวันร้อนและกลางคืนเย็นยิ่งดี สีสันที่ได้จะยิ่งสวย ยิ่งมีสีที่สวยอย่างสีชมพูอ่อนปรากฏ ต้นนั้นก็จะโตช้ากว่าต้นที่มีสีเขียวเยอะ รากจะเดินช้ามาก ดังนั้นเราจึงต้องใช้การต่อตอเพื่อให้แคคตัสสายพันธุ์ที่รากเดินเร็วกว่าช่วยหาสารอาหารให้ ซึ่งปกติก็จะใช้แคคตัสสามเหลี่ยมมาเป็นตอ แต่สำหรับเราอยากทดลองอะไรใหม่ ๆ ก็จะมีตออื่นที่มีความสวยงามมากขึ้น เช่น ตอหนามดำ ทำให้ดูน่ามองมากกว่า”
เช่นเดียวกับภาชนะปลูก คุณหมอเอเลือกใช้กระถางดินเผาที่ดูสวยน่ามองกว่ากระถางพลาสติกที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กัน แม้กระถางดินเผาจะอมความชื้นที่ไม้อวบน้ำไม่ชอบ แต่การใช้วัสดุปลูกอย่างดินภูเขาไฟกับดินก้ามปูที่ร่อนเอาแต่เนื้อดินในอัตราส่วนเท่ากันก็ช่วยระบายอากาศได้ดี ร่วมกับการรดน้ำเพียงสัปดาห์ละครั้ง ก็ทำให้วัสดุปลูกไม่ชื้นจนเกินไป แล้วบำรุงด้วยการใส่ปุ๋ยละลายช้าสูตร 3 เดือน และพ่นน้ำผสมเชื้อราไตรโคเดอร์มาทุกเดือนเพื่อป้องกันโรครากเน่า
คุณหมอเอยังทิ้งท้ายถึงคนที่อยากมีโรงเรือนปลูกต้นไม้เป็นของตัวเองว่า “นอกจากคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมในโรงเรือนแล้ว สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมคือการออกแบบโรงเรือนให้เป็นพื้นที่ที่ผู้ใช้อยู่แล้วสบายตัว คือเข้ามาอยู่แล้ว ไม่ร้อนจนเกินไป สบายใจ รู้สึกผ่อนคลาย ก็จะทำให้เราอยากเข้ามาใช้งาน งานอดิเรกก็เหมือนกับเพื่อน อาจมีอะไรที่ไม่ลงตัวหรือสมบูรณ์แบบทั้งสำหรับตัวเราและต้นไม้ แต่หากให้ความใส่ใจ ค่อย ๆ ปรับกันไป เราก็จะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข”
นิตยสาร บ้านและสวน ปี 2565 ฉบับที่ 546
เรื่อง : ปัญชัช
ภาพ : ศุภกร ศรีสกุล