ถือเป็นความพิเศษของงานบ้านและสวนแฟร์ Midyear 2022 ที่ครั้งนี้ได้จัดเต็มกับการแจก พรรณไม้ดอก 25 ชนิด จำนวน 555 ต้น โดยมีเงื่อนไขคือเมื่อซื้อหนังสือจากร้านหนังสือของสำนักพิมพ์บ้านและสวนในงานนี้จะมูลค่าเท่าไหร่ก็ได้ รับกล้าพรรณไม้ดอกสวยๆไปปลูกที่บ้านกันได้เลย โดยเริ่มกิจกรรมในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จนกว่าต้นไม้จะหมด
กิจกรรมนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้คนเริ่มปลูกต้นไม้ในพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมของเมือง ด้วยเช่นกัน ไปดูกันว่าเราแจกต้นอะไรกันบ้าง
1. กาหลง
ไม้พุ่มขนาดกลางในวงศ์ Fabaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bauhinia acuminata L. สูงได้ 2-3 เมตร ขนาดทรงพุ่มประมาณ 1.50-2 เมตร ลำต้นตั้งตรง กิ่งอ่อนมีขนทั่วไป กิ่งแก่ผิวค่อนข้างเกลี้ยงไม่ค่อยมีขน ส่วนใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ ใบรูปไข่เกือบกลม ปลายใบเว้าลงสู่เส้นกลางใบลึกเกือบครึ่งแผ่น ทำให้ปลายแฉกสองข้างแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ มีรยางค์เล็กๆ ระหว่างหูใบ แผ่นใบสีเขียวอ่อน เส้นใบสีเขียวสด ออกดอกสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อน ออกเป็นช่อกระจะสั้นๆ ตรงข้ามกับใบที่อยู่ตอนปลายกิ่ง ช่อละ 3-10 ดอก โคนก้านดอกมีใบประดับขนาดเล็ก 2-3 ใบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ติดกันคล้ายกาบ ปลายเรียวแหลม กลีบดอก 5 กลีบ รูปรีหรือรูปไข่กลับ ขนาดไม่เท่ากัน ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-8 ซม.ออกดอกตลอดปี ผลเป็นฝักแบนคล้ายรูปขอบขนาน ปลายและโคนฝักสอบ แหลม ปลายฝักมีติ่งแหลม เมล็ดขนาดเล็ก รูปขอบขนาน เจริญเติบโตได้ในดินร่วน ระบายน้ำดี ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ทั้งดินทราย ดินเนินเขา ชอบน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดเต็มวัน นิยมปลูกเดี่ยวๆ กลางแจ้งหรือเป็นกลุ่มร่วมกับชงโค โยทะกา เพราะมีลักษณะคล้ายกัน ควรปลูกไม้พุ่มเตี้ยด้านหน้าเพื่อบังโคนต้นที่โล่งมาก ระยะปลูกเพื่อจัดสวน ถี่ 1-1.50 เมตร ห่าง 2-3 เมตร ควรตัดฝักแห้งทิ้ง เพราะจะไม่ร่วงจากต้น มองดูไม่สวยงาม
2. กัลปพฤกษ์
ไม้ต้นผลัดใบในวงศ์ Fabaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cassia bakeriana Craib สูงได้ 5 – 15 เมตร ทรงพุ่มมีลักษณะเป็นทรงกลมหรือรูปร่ม มีเปลือกต้นสีเทาใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงสลับ แกนกลางใบประกอบยาว 15 – 40 เซนติเมตร ใบย่อย 5 – 8 คู่ รูปไข่แกมรูปขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก กว้าง 1.5 – 3.5 เซนติเมตร ยาว 6 – 9 เซนติเมตร ปลายใบมนหรือมีติ่งสั้น ออกดอกเป็นช่อกระจะออกตามกิ่ง ยาว 5 – 10 เซนติเมตร มีกลีบดอก 5 กลีบ สีชมพู และเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อใกล้โรย เกสรเพศผู้สีเหลือง ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน ผลเป็นฝักกลม ยาว 15 – 30 เซนติเมตร เมื่อแก่สีดำ เนื้อในสีขาว ภายในมี 30 – 50 เมล็ด เติบโตได้ในดินร่วนปนทราย ชอบน้ำน้อย ทนแล้งได้ดี ชอบแสงแดดตลอดวัน ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด นิยมปลูกในที่โล่งเพราะรูปทรงสวยงาม เวลามีดอกเต็มต้นเด่นสะดุดตาเป็นสีชมพูเข้มเมื่อเริ่มบาน และเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อใกล้โรย ไม่ควรปลูกเป็นจำนวนมากในที่เดียวเพราะมีแมลงเจาะไชกิ่งและลำต้นอาจตายได้ทั้งกลุ่ม
3. กาฬพฤกษ์
ไม้ยืนต้นในวงศ์ Fabaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cassia grandis L.f. สูงได้ถึง 20 เมตร เปลือกต้น สีน้ำตาลเข้มออกดำ ผิวแตกเป็นร่องลึก ถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนของอเมริกา ผลิดอกประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม แล้วจึงติดฝักและเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง ชอบดินร่วนชุ่มชื้นและแสงแดดจัด เป็นไม้ประจำจังหวัดบุรีรัมย์
4. กาสะลอง หรือปีบ
ไม้ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ผลัดใบในวงศ์ Bignoniaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ Millingtonia hortensis L. f. สูงได้ถึง 10-25 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกระบอก กิ่งก้านมักย้อยลง เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องลึกตามยาวลำต้นอย่างไม่เป็นระเบียบ ใบประกอบแบบขนนก 2-3 ชั้น เรียงเวียน ช่อแขนงด้านข้างมี 3-5 คู่ ปลายคี่ เรียงตรงข้าม ใบย่อยแขนงละ 2-4 คู่ เรียงตรงข้าม ใบรูปไข่หรือรูปไข่แกมใบหอก ปลายแหลม โคนใบมน ขอบใบหยักมนหรือเว้าเป็นคลื่นเล็กน้อย ดอกสีขาวหรือชมพู มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกซ้อนตามปลายกิ่ง ช่อดอกขนาดใหญ่ ยาว 10-35 เซนติเมตร มีขน กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็ก โคนติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยก 5 แฉก ปลายมนกว้างม้วนลงเป็นหลอดยาว ปลาย 4 แฉก มี 1 กลีบที่ปลายเป็น 2 แฉก ดอกบานเต็มที่กว้าง 3.5-4 เซนติเมตร ออกดอกช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ผลแห้งแตก เป็นฝักแบนและตรง สีน้ำตาล หัวท้ายแหลม เมล็ดแบนมีปีกบาง ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ความชื้นปานกลางถึงสูง และแสงแดดเต็มวัน นิยมปลูกประดับสวน ริมถนน เพราะพุ่มใบสวย ดอกหอม โตเร็ว
5. กันเกรา
ไม้ต้นในวงศ์ Gentianaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Fagraea fragrans Roxb. สูงได้ถึง 8 – 25 เมตร เรือนยอดรูปไข่ ทรงพุ่มแน่นทึบ เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 2.5 – 3.5 เซนติเมตร ยาว 8 – 11 เซนติเมตร สีเขียวเข้มเป็นมัน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ แผ่นใบสีเขียวเป็นมัน ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด แต่ละช่อมี 15 – 25 ดอก เมื่อเริ่มบานดอกสีขาว จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ออกดอกเดือนเมษายน – มิถุนายน ส่งกลิ่นหอมตลอดวัน ผลกลมขนาดเล็ก เมื่อสุกมีสีแดง เจริญเติบโตได้ในดินทุกประเภทที่ชุ่มชื้น ชอบน้ำปานกลาง ทนน้ำท่วมขัง และชอบแสงแดดตลอดวัน ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด เหมาะจะปลูกในสวนสาธารณะหรือบริเวณบ้านที่มีพื้นที่กว้าง เป็นไม้มงคลหนึ่งในเก้าชนิดที่ใช้รองก้นหลุมก่อนลงเสาเอกของบ้าน นิยมปลูกทางทิศตะวันออก เชื่อว่าช่วยปกป้องคุ้มภัย
6. แคนา
ไม้ยืนต้นโตเร็วในวงศ์ Bignoniaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dolichandrone serrulata (Wall. ex DC.) Seem. เป็นที่นิยมในการจัดสวน เจริญเติบโตได้ในทุกพื้นที่ เนื้อไม้ใช้งานได้แต่ไม่แข็งแรงนัก เมื่อต้นมีอายุมากขึ้นโคนต้นมีพูพอน ส่วนที่นิยมรับประทานคือดอกสีขาวทรงระฆังสวยงาม บานช่วงค่ำ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เมื่อดอกร่วงในตอนเช้า สามารถเก็บมาลวกจิ้มน้ำพริก ทำสลัดได้ รสชาติขมเล็กน้อย ทางภาคเหนือนำหมูสับปรุงรสแล้วยัดไส้ไว้ภายในนำไปนึ่งทานได้ ฝักเป็นเกลียวมีเมล็ดอยู่ภายใน เมล็ดมีเยื่อบางๆ คล้ายปีกช่วยให้ปลิวไปตามลมได้ง่าย ซึ่งเป็นวิธีกระจายพันธุ์ในธรรมชาติของไม้ยืนต้นชนิดนี้
7. แคแสด
ไม้ต้นขนาดกลางในวงศ์ Bignoniaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spathodea campanulata P.Beauv. สูงได้ถึง 6 – 20 เมตร ทรงพุ่มกลมหนาทึบ เปลือกลำต้นสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องตามยาว ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ใบย่อยมี 4 – 9 คู่ รูปรีถึงรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเป็นริ้ว มีขนเล็กน้อย ดอกเป็นช่อกระจะสั้นออกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้ง ดอกย่อยจำนวนมาก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปแตรปลายแยกเป็น 5 กลีบ กลีบดอกยับย่น สีส้มอมแดง ดอกทยอยบานและร่วงง่าย ออกดอกเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ ผลเป็นฝักแห้งแตก เมื่อแก่สีน้ำตาลดำ เมล็ดเล็กแบน มีปีก ชอบดินร่วน น้ำปานกลาง แสงแดดตลอดวัน ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ระยะปลูกที่เหมาะสม 3 – 8 เมตร ทนดินเค็ม เหมาะปลูกกลางแจ้งหรือริมทะเล เลี้ยงง่าย เริ่มให้ดอกเมื่อมีอายุประมาณ 4 – 8 ปี เปลือกใช้รักษาแผลเรื้อรัง แก้บิด ใบและดอกใช้พอกแผล
8.คำมอกหลวง
ไม้ต้นในวงศ์ Rubiaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gardenia sootepensis Hutch. สูงได้ถึง 7 – 15 เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปกรวยคว่ำ เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลอมเทา แตกกิ่งน้อย กิ่งอ่อนมีขน ปลายยอดมียางเหลืองข้นเป็นก้อนติดอยู่ ใบเดี่ยวออกตรงข้าม รูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 12 – 18 เซนติเมตร ยาว 22 – 30 เซนติเมตร ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบมนหรือสอบ ขอบใบเรียบ หูใบอยู่ระหว่างก้านใบ ลักษณะเป็นปลอกรอบกิ่ง แผ่นใบเหนียวและสาก ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 5 – 10 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบหนาขอบบิดและม้วน เมื่อบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 – 7 เซนติเมตร ดอกทยอยบานจนเต็มต้นในเวลาใกล้เคียงกัน ดอกแรกแย้มช่วงเย็นเป็นสีขาวนวลและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม เมื่อใกล้โรยมีกลิ่นหอมแรงมากขึ้น และร่วงตอนบ่ายวันรุ่งขึ้น ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ตลอดวันและหอมแรงใกล้พลบค่ำ ออกดอกเดือนมีนาคมถึงเมษายน ชอบดินร่วนปนทราย แสงแดดเต็มวัน น้ำปานกลาง ทนแล้งได้ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและทาบกิ่ง ควรปลูกกลางแจ้งให้ห่างจากต้นไม้อื่น 4 – 5 เมตร หากปลูกในพื้นที่ราบหรือชื้นแฉะจะมีใบจำนวนมาก ทรงพุ่มแน่นทึบและออกดอกน้อย แก่นไม้มีสรรพคุณแก้อาการถ่ายเป็นมูกเลือด แผ่นใบเหนียวและสาก ช่วยจับฝุ่นละอองได้ดี
9. จิกน้ำ
ไม้ต้นผลัดใบในวงศ์ Lecythidaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Barringtonia acutangula (L.) Gaertn. สูงได้ถึง 5 – 15 เมตร ลำต้นเป็นปุ่มปม ปลายกิ่งลู่ลง ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่บริเวณปลายยอด รูปใบหอกหรือรูปไข่กลับ ปลายและโคนใบแหลม ขอบจักถี่ ใบอ่อนสีน้ำตาลแดงเข้ม ดอกเป็นช่อยาวออกที่ปลายกิ่งห้อยลงเป็นระย้า กลีบเลี้ยง 4 กลีบติดทนจนเป็นผล กลีบดอกสั้น ปลายแยกเป็น 4 กลีบ หลุดร่วงง่าย สีชมพูหรือสีแดง เกสรเพศผู้เป็นเส้นฝอยสีชมพูหรือสีแดงจำนวนมาก ออกดอกเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม ผลกลมยาว เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 เซนติเมตร ยาว 3 – 4 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ภายใน เจริญเติบโตได้ในดินทุกประเภท ชอบน้ำมาก ทนน้ำท่วมได้ดี ชอบแสงแดดตลอดวัน ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด และตอนกิ่ง ระยะปลูกที่เหมาะสม 3 – 6 เมตร เนื้อไม้ใช้ทำไม้อัด เฟอร์นิเจอร์