บ้านตัวอย่างงานบ้านและสวนแฟร์2022 นำเสนอบ้านในแนวคิด “Worthy Living การออกแบบบ้านที่มีคุณค่าในหลายมิติ”
งานบ้านและสวนแฟร์ 2022 จัดในวันที่ 28 ตุลาคม – 6 พฤศจิกายน 2565 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานีซึ่ง บ้านตัวอย่างงานบ้านและสวนแฟร์2022 นี้ออกแบบโดย คุณป่อง-ปฐมา หรุ่นรักวิทย์ แห่ง CASE Studio สถาปนิกผู้ได้รับรางวัลศิลปินดีเด่นศิลปาธร ประจำปี 2553 สาขาสถาปัตยกรรม จากที่คุณป่องคลุกคลีกับการทำงานเพื่อชุมชนซึ่งมีขีดจำกัดทั้งด้านพื้นที่ งบประมาณ และการใช้ทรัพยากร บ้านที่ดีจึงต้องตอบโจทย์เหล่านั้น และอยู่สบาย จึงควรมีความยืดหยุ่นทั้งเรื่อง ค่าใช้จ่าย ขนาดพื้นที่ และการใช้งานที่เหมาะสมกับแต่ละครอบครัว
แนวคิด “Worthy Living” เกิดจากการผ่านวิกฤตด้านโรคระบาดที่ส่งผลให้เราต้องปรับการใช้ชีวิต บ้านกลายเป็นทั้งที่ทำงาน พื้นที่สร้างรายได้ แหล่งผลิตอาหารในครัวเรือน เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายจนเกิดพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลกที่แย่ลง และส่งผลกับมนุษย์มากขึ้น การออกแบบบ้านจึงควรมีคุณค่าในหลายมิติ ที่ไม่ได้สร้างเพื่อตอบสนองตัวเราเองฝ่ายเดียว
“การออกแบบบ้านให้เป็นสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าในตัวเองไม่ใช่การตอบสนองเฉพาะผู้อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ควรมีคุณค่าสำหรับพื้นที่ตั้งนั้นๆ ชุมชน และระบบนิเวศน์ของโลก เพื่อลดการเกิดปัญหาสภาพแวดล้อมในระยะยาว ซึ่งถ้าเราเริ่มคิดจากการออกแบบบ้านให้ดีต่อโลกแล้ว สุดท้ายก็จะส่งผลให้บ้านนั้นดีต่อเราด้วย แต่ถ้าตั้งต้นด้วยการออกแบบบ้านตามความต้องการของตัวเราเท่านั้น ในที่สุดบ้านนั้นก็จะทำร้ายโลกมากกว่าที่ควรเป็น ซึ่งจริงๆแล้วเราทุกคนเลือกได้ว่าจะทำอย่างไร”
สถาปนิกจึงได้ออกแบบบ้านกึ่งสำเร็จรูปที่ดีทั้งต่อผู้อยู่อาศัย ดีทั้งต่อโลกและสังคม ให้มีความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต ตัวบ้านออกแบบด้วยระบบโมดูลาร์ที่ใช้ระยะ 1.20 เมตรเป็นเกณฑ์ ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของวัสดุส่วนใหญ่ในท้องตลาด ตัวบ้านก้อนหลักเริ่มต้นที่ขนาด 3.60 x 3.60 เมตร และสามารถขยายขนาดให้ยาวขึ้นได้ทีละ 1.20 ม. หรือจะเป็นการต่อกันสองก้อนกลายเป็นขนาด 3.60 x 7.20 เมตรก็ได้ การใช้ระบบโมดูลาร์ช่วยให้เหลือเศษวัสดุที่ตัดทิ้งน้อยลง และได้พื้นที่ที่คุ้มค่า ทั้งยังสามารถจัดวางการเชื่อมต่อบ้านกับชานได้ตามต้องการ มาดูกันว่าบ้านหลังนี้ออกแบบให้ดีต่อเรา และดีต่อโลกอย่างไรบ้าง
7 การออกแบบที่ดีต่อโลก
บ้านอาจเพียงเป็นยูนิตเล็กๆ ยูนิตหนึ่ง แต่เมื่อบ้านประกอบกันหลายๆ หลัง ย่อมกลายเป็น ชุมชน เมือง และโลกในที่สุด มาดูกันว่าบ้านรูปแบบนี้จะส่งผลดีต่อโลกของเราได้อย่างไร
- รองรับการใช้พลังงานสะอาด หลังคาออกแบบโครงสร้างให้รองรับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ และสามารถจัดวางให่้อยู่ในทิศที่รับแดดได้ สำหรับผลิตพลังงานสะอาดใช้ภายในบ้านเองได้ หรือขายคืนให้แก่ภาครัฐหากมีปริมาณเหลือใช้
- ลดขยะ มีวัสดุเหลือทิ้งน้อย ตัวยูนิตบ้านเริ่มต้นที่ 2 ขนาดคือ 3.60×3.60 เมตร และขนาด 1.20×3.60 เมตร ซึ่งเป็นระบบโมดูลาร์ที่มาจากขนาดมาตรฐานของวัสดุก่อสร้างหลักที่เลือกใช้ คือ เมทัลชีตบุฉนวน และแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ การใช้วัสดุได้เต็มแผ่นโดยไม่ต้องตัดทิ้ง ทำให้เกิดขยะน้อยตามไปด้วย
- วัสดุสามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้ โครงสร้างบ้านหลังนี้ใช้เหล็กเป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งเป็นวัสดุที่สามารถนำมาเข้ากระบวนการรีไซเคิลได้หากมีการรื้อถอนในอนาคต ทั้งยังสามารถถอดแล้วย้ายไปประกอบในพื้นที่ใหม่ได้
- ไม่ขวางทางน้ำ ช่วยระบายน้ำลงผืนดิน บ้านที่ยกสูงขึ้นจากพื้นดิน นอกจากจะช่วยให้อากาศไหลเวียนดีแล้ว ยังไม่เป็นการขวางทางน้ำ และช่วยให้น้ำได้ซึมลงดิน ลดปัญหาการเกิดน้ำท่วม เป็นผลดีต่อต้นไม้โดยรอบบ้าน และระบบนิเวศน์ในพื้นที่
- เผื่อพื้นที่ไว้จัดการขยะ การมีพื้นที่นอกบ้านที่เข้าถึงง่าย ทั้งแบบกึ่งเอ๊าต์ดอร์และเอ๊าต์ดอร์ ทำให้มีทางเลือกในการกำจัดขยะได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งทำเป็นปุ๋ยโดยการหมักตามธรรมชาติและผ่านเครื่องกำจัดขยะสมัยใหม่
- สร้างอาหารด้วยตัวเอง ลดความสิ้นเปลือง แปลงผักแบบง่ายๆ การเลี้ยงไก่ตามพื้นที่ที่เอื้ออำนวย ช่วยสร้างแหล่งอาหารให้ผู้อยู่อาศัย นำมาซึ่งการลดความสิ้นเปลืองของอาหารเหลือทิ้ง มีการปลูกพืชที่ใช้ในครัวเรือน ทั้งปลูกใหม่และปลูกซ้ำหมุนเวียนกัน
- เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ชุมชน การออกแบบให้มีพื้นที่กึ่งเอ๊าต์ดอร์ ย่อมเปิดโอกาสให้มีการสร้างพื้นที่สีเขียวที่มากขึ้น ทั้งการปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อมาช่วยลดความร้อนให้ผนังบ้าน การตกแต่งด้วยต้นไม้ขนาดเล็กและไม้พุ่มตามทางเดิน รวมถึงไม้แขวนตามระเบียง ซึ่งนอกจากสร้างความร่มรื่นในรั้วบ้านแล้ว ช่วยเป็นการเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ให้โลกด้วย
7 การออกแบบที่ดีต่อเรา
พื้นฐานของบ้านต้องตอบสนองผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก ทั้งความอยู่สบาย ความสวยงาม ราคา และการก่อสร้างที่เหมาะสม และนี่คือ 7 ข้อดีของบ้านตัวอย่างหลังนี้ที่ดีต่อผู้อยู่อาศัย
- ปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามการใช้งาน พื้นที่ 1 ยูนิตของบ้านกึ่งสำเร็จรูปนี้ สามารถจัดเป็นฟังก์ชันครบ ใช้นอนได้ทำงานได้ หรือเป็นพื้นที่ที่มีฟังก์ชันเฉพาะ เป็นส่วนต่อขยายของบ้าน อาทิ ครัวที่ต่อเติม ห้องทำงานช่วง WFH หรือเติมชั้นลอยไว้ใช้งานภายในก็ยังได้
- เจ้าของบ้านมีส่วนร่วมในการออกแบบ บ้านของแต่ละครอบครัวมีการใช้สอยต่างกันแน่นอน จึงออกแบบให้เจ้าของบ้านมีส่วนร่วมในการออกแบบต่อไปได้ จึงใช้ระบบโมดูลาร์เพื่อให้เจ้าของบ้านจัดเรียงพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสมกับตัวเองได้ จัดวางให้เชื่อมต่อได้พอดีกับขนาดและรูปทรงของที่ดินที่มีอยู่ได้ ตลอดจนการกำหนดช่องเปิดหรือหน้าต่างให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม
- ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา ก่อสร้างไม่ยุ่งยาก เพราะบ้านหลังนี้คำนึงถึงเรื่องราคาเป็นหลัก จึงออกแบบให้เป็นบ้านที่สามารถก่อสร้างได้รวดเร็วจากโครงเหล็กที่ใช้วัสดุก่อสร้างมาตรฐาน ทำให้ช่างทำงานง่าย ในงบประมาณที่คุ้มค่าและชัดเจน
- ลมดี อากาศไหลเวียน ลดความร้อน ตัวบ้านออกแบบให้ยกพื้นเพื่อให้อากาศไหลเวียนได้ดีตามหลักการออกแบบ หรือหากต้องการยกสูงเป็นพื้นที่ใต้ถุนก็ทำได้ นอกจากนี้ยังเลือกใช้เมทัลชีตบุฉนวนเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ที่สำคัญการออกแบบกับสถาปนิกจะช่วยให้มีการวางทิศทางของบ้านที่ถูกต้องได้อีกด้วย
- พอดีในพื้นที่ส่วนตัว เชื่อมต่อในพื้นที่ส่วนรวม บ้านไม่ใช่พื้นที่แค่ในห้องอย่างเดียว การออกแบบให้มีชานเป็นตัวเชื่อมกันจึงเสมือนการสร้างพื้นที่ส่วนรวมในแต่ละยูนิตให้เป็นพื้นที่กึ่งเอ๊าต์ดอร์ ที่สมาชิกของแต่ละยูนิตสามารถมาทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ โดยไม่ถูกจำกัดแต่ภายในห้อง
- รองรับอนาคตที่ขยายได้แบบเรือนไทย แม้จะเริ่มต้นจากยูนิตขนาดมาตรฐาน แต่ก็สามารถเพิ่มพื้นที่ใช้งานได้ทั้งจากยูนิตขนาด 3.60×3.60 เมตร หรือขนาด 1.20×3.60 เมตร เมื่อมีงบประมาณที่เพิ่มขึ้นหรือจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น คล้ายๆ กับรูปแบบของการต่อเติมของเรือนไทย
- เลือกวัสดุได้ตามความชอบ จากโครงสร้างเหล็กนี้ สถาปนิกได้ออกแบบให้มีรายละเอียดที่สามารถกรุเปลือกอาคารทั้งภายนอกและภายในที่หลากหลายพอสมควร เพื่อความสวยงามและดูแลรักษาง่าย อาทิ เมทัลชีต ไม้ฝา หลังคาซีดาร์ การทาสีภายใน และวัสดุพื้นตามต้องการ
เรื่อง กองบรรณาธิการและฝ่ายกิจกรรมพิเศษบ้านและสวน
ภาพ CASE Studio, ฝ่ายกิจกรรมพิเศษบ้านและสวน