บ้านพื้นถิ่น หลังนี้รีโนเวตมาจากบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนดั้งเดิมที่เคยต่อเติมดัดแปลงมาแล้วหลายครั้ง โดยเน้นปรับแก้ไขปัญหาเดิมของบ้าน และสร้างฟังก์ชันให้เหมาะกับวิถีชีวิตใหม่ด้วยเสน่ห์ของงานช่างฝีมือท้องถิ่น
หลังจากได้เห็นความงามของบ้านไม้ที่ชื่อว่า “ขนำน้อย” ซึ่งทีมยางนาสตูดิโอได้ออกแบบให้ลูกสาวแล้ว คุณวิภาดา กฤษณามะระ จึงมั่นใจและตัดสินใจให้ทีมยางนารับงานต่ออีกครั้ง โดยคราวนี้เป็นการปรับปรุง “บ้านอินทร์” ซึ่งเป็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนดั้งเดิมที่ติดมากับที่ดิน และผ่านการต่อเติมดัดแปลงให้เข้ากับการใช้งานอยู่หลายครั้งในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ให้กลายเป็น บ้านพื้นถิ่น ที่ดูร่วมสมัย
สถาปนิกเล่าถึงความตั้งใจในการปรับปรุงบ้านหลังนี้ไว้ว่า “เป้าหมายหลักของเราไม่ใช่แค่แก้ไขปัญหาเดิมของบ้าน แต่ยังสร้างชีวิตใหม่หรือสร้างวิถีใหม่ของการอยู่อาศัยในบ้านทั้งในเชิงฟังก์ชันและทางจิตวิญญาน โดยทั้งหมดต้องสอดคล้องไปกับไลฟ์สไตล์และความต้องการใหม่ๆ ของผู้อยู่อาศัยด้วย เราตัดสินใจเพิ่มสเปซภายในด้วยการตัดส่วนต่อเติมที่ไม่จำเป็นออก เอาส่วนเก็บของที่มีมากเกินไปทิ้ง แล้วแทนที่ด้วยโถงทางเข้าที่เปิดโล่งรับแสงและช่วยให้ลมธรรมชาติหมุนเวียนถ่ายเทได้ดี รวมถึงเป็นช่องเปิดให้มองเห็นพื้นที่สีเขียวภายนอกได้ด้วย”
แนวทางการปรับปรุงบ้านนี้ยังเน้นถึงสะท้อนถึงงานฝีมือของช่างท้องถิ่นกับวัสดุที่หาได้ในพื้นที่และใช้อย่างไม่ให้เหลือเศษทิ้งเปล่า จึงมีการนำผนังไม้ทาสีเก่าและชุดประตูหน้าต่างไม้ที่มีอยู่เดิมทั้งหมดมาขัดผิวและเคลือบใหม่เพื่อใช้งานอีกครั้ง เพิ่มเติมด้วยวัสดุใหม่อย่างบล็อกคอนกรีตเข้ามาใช้ผ่านภาษาทางสถาปัตยกรรมที่ร่วมสมัย และออกแบบเปลือกอาคารให้สัมพันธ์กับพื้นที่ภายใน อย่างเปลือกอาคารผนังส่วนหนึ่งที่ใช้ไม้ระแนงถึง 3 แบบเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละช่วงผนัง ซึ่งมาจากการเปิดหลังคาในส่วนโถงทางเข้าบ้านที่ต่อเติมจากบ้านหลักให้ทะลุถึงชั้น 2 โดยรื้อผนังชั้น 2 ออกแล้วใส่ราวกันตกเข้าไปแทน จึงตั้งเสาใหม่ก่อผนังอิฐบล็อกให้เป็นฐาน ส่วนของผนังจึงมีทั้งผนังโครงเหล็กที่มีหน้าต่างบานกระทุ้ง เหนือขึ้นไปเป็นผนังกระจกสลับกับไม้ และผนังบนสุดเป็นช่องลมกรุด้วยมุ้งลวด
ปัญหาหลักๆ ในการปรับปรุงบ้านอินทร์ยังมีเรื่องของแสงธรรมชาติ รอยร้าวจากการต่อเติมที่ผ่านมา ปลวกที่ขึ้นตามผนังโครงไม้เก่า และสิ่งมีชีวิตที่วิ่งไปมาบนฝ้าเพดานตอนกลางคืน เนื่องจากบริเวณรอบๆ บ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ จึงมักมีสัตว์มาอาศัยอยู่บนฝ้าเพดานชั้นล่างเสมอ สถาปนิกจึงแก้ปัญหาส่วนนี้ด้วยการโชว์โครงสร้างหลังคา และใช้หลังคาสองชั้น โดยมีหลังคาหญ้าแฝกเป็นฉนวนกันความร้อน และใช้วิธีเปิดโล่งเพื่อให้ความร้อนลอยขึ้นสู่ด้านบน เพิ่มช่องบานเกล็ดไม้ในการระบายอากาศให้หมุนเวียนออกไป ประกอบกับใช้ฝ้าเพดานชนิดที่มีพียูโฟม 2 นิ้วกรุเป็นฉนวนกันความร้อนเข้าไประหว่างจันทันเอียงไปตามรูปทรงของหลังคา เพื่อไม่ให้มีพื้นที่สำหรับสัตว์มาอยู่อาศัย และยังมีฉนวนที่เกิดจากช่องอากาศระหว่างแปอีกด้วย จากนั้นประกบด้วยไม้เข้ากับจันทันส่วนที่ยื่นออกมา เป็นการเก็บงานที่ดูมีมิติสวยงาม
นอกจากการปรับปรุงบ้านเก่าแล้ว สมาชิกในบ้านยังมีแผนที่แอบฝันกันไว้ด้วยว่าอยากให้บ้านหลังนี้เป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับเพื่อนๆ ได้มาอยู่ด้วยกัน โดยมีแนวคิดว่า “เราอยากพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นบ้านสำหรับคนที่มีวิถีชีวิตเหมือนๆ กัน คือต้องการใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีลูก พึ่งพาตนเอง ได้มาใช้ชีวิตด้วยกันที่นี่ในช่วงเกษียณอายุ โดยจ้างผู้จัดการ พยาบาล แม่บ้าน คนสวน และช่างเป็นส่วนกลางร่วมกัน”
ฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับการวางผังบ้านใหม่จึงต้องเน้นให้เกิดความต่อเนื่องของพื้นที่ภายใน เพื่อง่ายต่อการปรับเปลี่ยนการใช้งานในอนาคต โดยออกแบบให้ชั้นล่างเป็นพื้นที่ส่วนกลางซึ่งมีครัวเป็นหัวใจหลัก เพื่อใช้ปรุงอาหารและเป็นพื้นที่รับประทานอาหารร่วมกันแล้ว ยังสามารถใช้เป็นที่รับแขกไปในตัว จึงตกแต่งด้วยโต๊ะกลางที่ดัดแปลงจากโต๊ะจัดเลี้ยงของคุณตา แต่เปลี่ยนท็อปให้เป็นกระเบื้อง เพิ่มรัดขาโต๊ะด้านล่างเป็นที่วางของ สถาปนิกยังออกแบบช่องแสงแบบฝาไหลและมีมุกยื่นออกไปสำหรับใช้เป็นที่คว่ำจานได้ แล้วก็มีมุมนั่งเล่น มุมกาแฟ ห้องนอนคุณแม่ พร้อมห้องน้ำของผู้จัดการและพยาบาล ส่วนชั้นบนตั้งใจออกแบบเป็นพื้นที่ให้ลูกสาวได้ใช้สำหรับสอนโยคะและนั่งสมาธิร่วมกัน จึงมีการรื้อผนังเดิมออกเพื่อให้เกิดพื้นที่โล่งใช้งานได้อเนกประสงค์
“ที่สำคัญคือการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ในห้องนอนส่วนตัวของคุณแม่ให้ครบจบในห้องเดียว ภายใต้ความปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ และตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวให้สามารถปรับการใช้งานได้ตามชอบ เพราะคุณแม่เองก็จบด้านด้านมัณฑนศิลป์ตกแต่งภายใน มีของสะสมส่วนตัวหลายอย่างทั้งเฟอร์นิเจอร์เก่า หนังสือ จานชาม เครื่องมือ ของใช้ในครัว ฯลฯ จึงชอบจัดเปลี่ยนย้ายเพื่อให้บ้านสวยน่าอยู่และมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ”
เจ้าของบ้านกล่าวทิ้งท้ายเมื่องานปรับปรุงจบลงว่า “ที่เราประทับใจกันมากคือการที่สถาปนิกได้ออกแบบในรายละเอียดให้สล่าไม้ได้แสดงทักษะอย่างเต็มที่ สลักและเดือยไม่ได้ถูกซ่อนกลืนไปกับโครงสร้างไม้ แต่กลับถูกโชว์ให้เด่นออกมา ทำให้เห็นถึงความสำคัญของชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ยึดโครงสร้างขนาดใหญ่เอาไว้อย่างมั่นคง และมีเสน่ห์แตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ ขอบคุณทีมสถาปนิกยางนาสตูดิโอและสล่าไม้ ที่ทำให้รู้ว่าที่มาของจินตนาการนั้นมีเหตุและผล”
เจ้าของ : คุณวิภาดา กฤษณามะระ
ออกแบบ : บริษัทยางนา สตูดิโอ จำกัด โดยคุณเดโชพล รัตนสัจธรรม
เรื่อง : คุณปานเดช บุญเดช
เรียบเรียง : ภัทรสิริ โชติพงศ์สันติ์
ภาพ : รุ่งกิจ เจริญวัฒน์
ที่ตั้ง : จังหวัดสิงห์บุรี