ภาษาดอกไม้ มีประวัติความเป็นมาที่น่าค้นหา

พูดจา ภาษาดอกไม้ หลายคนอาจเคยได้ยินจากการนำมาปรับเป็นคำพูดของกลุ่ม LGBTQA+ จนกลายเป็นกระแสเมื่อหลายปีก่อน ทว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอันเนิ่นนานตั้งแต่ยุควิกตอเรีย หรือในสมัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมและเป็นยุคสูงสุดของจักรวรรดิอังกฤษ

ภาษาดอกไม้ มีทั้งในด้านดีและด้านลบ เช่น สื่อถึงความโชคร้าย ความโศกเศร้า หรือ ความตาย นอกจากนี้ ดอกไม้ชนิดเดียวกันพออยู่ในที่ต่างกันก็ส่งผลให้มีความหมายเปลี่ยนไป เช่น ดอก Daffodils ในประเทศจีนจะสื่อความหมายถึงความโชคดี แต่ในขณะเดียวกันในประเทศญี่ปุ่นจะสื่อถึงความร่าเริง

.

เมื่อจะกล่าวถึงที่มาของภาษาดอกไม้ของหญิงสาวยุควิกตอเรีย ต้องกล่าวย้อนไปก่อนนั้นที่นักกวีชื่อดัง William Shakespeare ที่ใช้ดอกไม้มาเปรียบเปรยใช้ในงานกวีอยู่เสมอ ซึ่งมีผลมาจากงานอดิเรกของตนที่ชอบปลูกดอกไม้อยู่แล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะสื่อความหมายโดยตรงว่า ให้ดอกนี้จะหมายถึงอะไร แต่จะใช่สื่อในเชิงสัญญะ อย่างในบทกวีชื่อดัง เช่น โรมิโอแอนด์จูเรียต กับบทสนทนาแปลไทยที่ว่า “ชื่อนั้นสำคัญไฉน ถ้าเราเรียกดอกกุหลาบด้วยชื่ออื่น มันก็จะยังมีกลิ่นหอมเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ” ที่เปรียบเปรยถึงนามสกุลของจูเรียตนั่นเอง

ภาษาดอกไม้

ถัดมาชาวยุโรปรู้จักการใช้ดอกไม้แทนการสื่อสารกันมากขึ้นจากงานเขียนของ Lady Mary Wortley Montagu ซึ่งเธอเองได้แรงบันดาลใจจากการไปเจอการสื่อสารของหญิงสาวในฮาเร็ม ที่ไม่สามารถพูดคุยกับชายหนุ่มได้โดยตรง จึงจะใช้ดอกไม้ ใบไม้ หรือพืชเป็นสัญลักษณ์แทนการสื่อสารการพูดคุยและเจรจา รวมถึงการทะเลอะอีกด้วย

.

จนกระทั่งมาเป็นกระแสโด่งดังในปี ค.ศ.1839 เมื่อ Louise Cortambert ชาวฝรั่งเศษได้เขียนพจนานุกรมภาษาดอกไม้ ที่ชื่อว่า Le Langage des Fleurs ซึ่งในเล่มจะเป็นภาพวาดดอกไม้นาๆชนิด รวมทั้งบทความ และความหมายเชิงจิตวิทยาของดอกไม้นั้นๆ ว่ามีความหมายแฝงอย่างไร เช่น การยอมรับ การปฏเสธ ความรัก ความคิดถึง ฯลฯ ซึ่งพจนานุกรมเล่มนี้ยังได้แรงบันดาลใจมาจากการเปรียบเปรยของ Shakespeare อีกด้วย เมื่อหนังสือวางแผงสู่ประชาชนก็ได้กลายเป็นกระแส และถูกพูดถึงรวมทั้งนำมาสู่การใช้ดอกไม้ในการสื่อสารจริงๆ จากนั้นกระแสก็ได้มีอิทธิพลต่อเนื่องมาจนถึงในยุควิกตอเรีย ถึงขั้นในบ้านต้องมีโรงเรือนดอกไม้เพื่อจะได้มีดอกไม้หลากหลายชนิดให้เพียงพอต่อการใช้สื่อความหมายแทนการสือสารนั่นเอง

.

นอกจากภาษาดอกไม้ในงานกวีต่างๆแล้ว ยังมีแพร่เข้าสู่วงการจิตกรรมภาพวาดที่นอกจากความสวยงามแล้วยังแฝงความหมายไว้อีกด้วย เช่นผลงานดังของ John Everett Millais อย่าง Ophelia (1851) ที่มีการแทรกดอกป็อปปี้ เพื่อสื่อถึงการหลับ หรือการตาย หรือ Forget Me Not สื่อถึงการระลึกถึงและความทรงจำ เป็นต้น

ภาษาดอกไม้

ตัวอย่างความหมายของต้นไม้และดอกไม้

กระบองเพชร = ความอดทนอดกลั้น

คามิเลีย = ความสมบูรณ์แบบ

คาร์เนชั่น = ความรู้สึกดึงดูด ความสนใจ และความรักของผู้หญิง

เบญจมาศ = ความร่าเริง การพักผ่อน

เดซี่ = ความรัดอันภักดี ความใสซื่อเดียงสา

เฟิน = ความจริงใจ

Forget Me Not = ความรักที่แท้จริง ความทรงจำ การระลึกถึง

มะลิ = ความเป็นมิตร


ขอบคุณที่มา

YouTube : Point of View

adaymagazine.com


บทความที่เกี่ยวข้อง

ต้นไม้ปลูกในที่แคบ เติบโตได้ดี และดูแลง่าย

ดอกไม้กินได้ ดอกสวยสดใส แต่งอาหารน่ากิน

ติดตามไอเดียบ้านและสวนเพิ่มเติมได้ทาง : บ้านและสวน Baanlaesuan.com