สัญญาจะซื้อจะขาย บ้านและที่ดิน - บ้านและสวน

สัญญาจะซื้อจะขาย ฉบับเข้าใจง่าย

หากคุณกำลังวางแผนซื้อบ้านหรือที่ดิน หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่หนีไม่พ้นคือ การทำ สัญญาจะซื้อจะขาย และ สัญญาซื้อขาย หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองแบบต่างกันอย่างไร ใช้เมื่อไหร่ และต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง วันนี้เรามาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง!

มัดรวม สัญญาจะซื้อจะขาย มาให้ดาวโหลด >> หนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย หนังสือสัญญาซื้อขาย หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน หนังสือสัญญาเช่าห้องชุด

1. สัญญาจะซื้อจะขาย คืออะไร?

สัญญาจะซื้อจะขาย คือข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่ระบุว่า “จะมีการซื้อขายทรัพย์สินในอนาคต” เช่น บ้าน คอนโด หรือที่ดิน โดยกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน เช่น ราคา วิธีชำระเงิน และวันโอนกรรมสิทธิ์

ลักษณะสำคัญของสัญญาจะซื้อจะขาย

  • ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ทันที: ต้องรอให้ครบตามเงื่อนไข
  • เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการเวลาเตรียมตัว: เช่น ขอสินเชื่อ รอการก่อสร้างเสร็จ
  • ใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมาย: ยืนยันข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย

ระยะเวลาของสัญญาจะซื้อจะขาย

  • ระยะสั้น (30-90 วัน): เหมาะกับบ้านมือสองหรือบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว
  • ระยะกลาง (3-6 เดือน): เหมาะกับบ้านที่กำลังก่อสร้างใกล้เสร็จ
  • ระยะยาว (6-24 เดือน): ใช้กับโครงการที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เช่น คอนโด
สัญญาจะซื้อจะขาย

2. สัญญาซื้อขาย คืออะไร?

สัญญาซื้อขาย คือเอกสารที่ใช้เมื่อถึงเวลาซื้อขายจริงและโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน โดยมักทำที่สำนักงานที่ดินเมื่อผู้ซื้อและผู้ขายตกลงทุกเงื่อนไขเสร็จเรียบร้อย

ลักษณะสำคัญของสัญญาซื้อขาย

  • เป็นขั้นตอนสุดท้าย: เมื่อผู้ซื้อพร้อมจ่ายและผู้ขายพร้อมโอนกรรมสิทธิ์
  • ต้องจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน: เพื่อให้การโอนกรรมสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย
  • ยืนยันกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ: เมื่อทำสัญญาแล้ว ผู้ซื้อจะได้รับกรรมสิทธิ์สมบูรณ์

3. ความแตกต่างระหว่างสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขาย

หัวข้อสัญญาจะซื้อจะขายสัญญาซื้อขาย
ลักษณะแสดงเจตนาว่าจะซื้อและขายในอนาคตซื้อขายจริง พร้อมโอนกรรมสิทธิ์
การโอนกรรมสิทธิ์ยังไม่เกิดขึ้นโอนกรรมสิทธิ์ทันที
สถานที่ทำสัญญาทำที่ไหนก็ได้ทำที่สำนักงานที่ดิน
ผลทางกฎหมายเป็นหลักฐานตกลงเบื้องต้นยืนยันการซื้อขายสมบูรณ์

4. ทำสัญญาที่ไหนดีที่สุด?สำนักงานที่ดิน เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำสัญญา โดยเฉพาะสัญญาซื้อขาย เพราะ

  • มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยเหลือ: ให้คำแนะนำครบทุกขั้นตอน
  • ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ได้ทันที: ลดปัญหาทางกฎหมาย
  • มีแบบฟอร์มมาตรฐานให้ใช้: ครอบคลุมทุกข้อมูลสำคัญ
  • จดทะเบียนนิติกรรมได้ในคราวเดียว: ทำให้การซื้อขายสมบูรณ์

10 เทคนิคเขียนสัญญาให้อยู่หมัด

1. หัวสัญญา

เริ่มต้นด้วยการระบุ สถานที่ และ วันที่ทำสัญญา ให้ชัดเจน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของสัญญาและกำหนดช่วงเวลาที่สัญญามีผลบังคับ

2. รายละเอียดของผู้ซื้อและผู้ขาย

ใส่ชื่อ-นามสกุล อายุ และที่อยู่ของทั้งสองฝ่ายตามบัตรประชาชน พร้อมระบุสถานะว่าเป็น “ผู้จะซื้อ” หรือ “ผู้จะขาย” และอย่าลืมแนบสำเนาบัตรประชาชนไว้ท้ายสัญญาด้วย

3. รายละเอียดทรัพย์สินที่จะซื้อขาย

เขียนให้ครบถ้วน เช่น บ้านพร้อมที่ดิน บ้านเลขที่ เลขที่โฉนด ที่ตั้ง (ตำบล อำเภอ จังหวัด) พร้อมแนบสำเนาโฉนดและเอกสารสิ่งปลูกสร้างไว้ท้ายสัญญา

4. ราคาซื้อขายและการชำระเงิน

  • ระบุราคาซื้อขายทั้งตัวเลขและตัวอักษร
  • แยกส่วนการชำระเงิน เช่น
    • เงินมัดจำ: ระบุจำนวนและรายละเอียดการชำระ (เงินสดหรือเช็ค)
    • เงินส่วนที่เหลือ: จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์

5. การโอนกรรมสิทธิ์

กำหนดวันที่แน่นอนสำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ พร้อมระบุสำนักงานที่ดินที่จะไปดำเนินการ รวมถึงใครรับผิดชอบค่าธรรมเนียม เช่น ค่าธรรมเนียมโอน คนละครึ่ง แต่ภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นของผู้ขาย

6. การส่งมอบทรัพย์สิน

กำหนดวันให้ผู้ขายอนุญาตให้ผู้ซื้อเข้าตรวจสอบทรัพย์สินก่อนวันโอนกรรมสิทธิ์ หากทุกอย่างถูกต้อง ผู้ขายต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ทันทีหลังโอนกรรมสิทธิ์

7. การโอนสิทธิและคำรับรองผู้ขาย

  • ป้องกันการโอนทรัพย์สินให้บุคคลที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ผู้ขายต้องรับรองว่าทรัพย์สินไม่มีภาระหนี้สิน หากยังติดจำนอง ผู้ขายต้องจัดการจ่ายหนี้ให้หมดก่อนวันโอน

8. กรณีผิดสัญญา

  • ผู้ซื้อผิดสัญญา: ผู้ขายสามารถริบเงินมัดจำและยกเลิกสัญญาได้
  • ผู้ขายผิดสัญญา: ผู้ซื้อสามารถฟ้องร้องให้โอนกรรมสิทธิ์หรือเรียกเงินมัดจำคืนพร้อมค่าเสียหาย

9. เงื่อนไขเพิ่มเติม

เพิ่มข้อตกลงพิเศษ เช่น หากไม่โอนตามกำหนดจะคิดดอกเบี้ย หรือหากมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร

10. การลงนามในสัญญา

  • ต้องมีชื่อและลายเซ็นของผู้ซื้อ ผู้ขาย และพยานฝ่ายละ 1 คน
  • สัญญาจัดทำ 2 ฉบับ ให้ผู้ซื้อและผู้ขายเก็บไว้ฝ่ายละฉบับ

สัญญาจะซื้อจะขาย และ สัญญาซื้อขาย มีบทบาทสำคัญในกระบวนการซื้อบ้านและที่ดิน การเตรียมตัวให้พร้อม ตรวจสอบเอกสารให้ครบ และเลือกสถานที่ทำสัญญาที่เหมาะสม เช่น สำนักงานที่ดิน จะช่วยให้ทุกอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาตามมา อย่าลืมศึกษาและพูดคุยให้ชัดเจนก่อนเซ็นสัญญา เพราะเอกสารเหล่านี้คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณซื้อบ้านได้อย่างมั่นใจ!


เรื่อง: Pakaho

กฎหมายรับมือ ผู้รับเหมาเบี้ยวส่งมอบงาน – งานมีปัญหา

ผู้รับเหมาส่งมอบงาน แต่บ้านยังชำรุด ทำอย่างไร

ติดตามบ้านและสวน

Tagged :