เอนกายพักผ่อน ชมดอกไม้ที่ปลูกเอง ใน บ้านตากอากาศล้อมสวน - บ้านและสวน
baan-klang-dong

บ้านตากอากาศล้อมสวน ที่มีมุมชมสวนสวยยามเช้า และมุมนอนดูดาวในยามค่ำ

บ้านตากอากาศล้อมสวน โอบด้วยวิวภูเขา ที่ตั้งใจให้ตัวบ้านกลมกลืนไปกับบริบท จึงออกแบบบ้านด้วยโครงสร้างอิงภูเขา ช่องเปิดรับลม และวัสดุท้องถิ่นรอบบ้าน

baan-klang-dong

ไอความหนาวต้นปียังไม่ทันจาง เราก็ได้รับโอกาสให้มาเยือนบ้านกลางดง บ้านตากอากาศล้อมสวน ท่ามกลางไร่ผลไม้ที่มีภูเขาสูงเป็นฉากหน้าหลัง พร้อมกับการต้อนรับของ ดร.โอ หนึ่งในสมาชิกเจ้าของบ้าน และขาว สุนัขพันธุ์ไทยสีขาวเจือส้มจางๆ ของสีดินประจำถิ่น “ขาวไม่ทำอะไรหรอกครับ แค่ขอให้เขาดมคนละหนึ่งครั้งเท่านั้น” ดร.โอบอกกับทีมด้วยรอยยิ้มก่อนนำเข้าสู่ตัวบ้าน และเล่าว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัว ซึ่งแต่ละคนก็ต่างสลับแวะเวียนมาเยี่ยมเยือน ล่าสุดก็สังสรรค์รวมญาติไปเมื่อปีใหม่ที่พึ่งผ่านมา “นี่นับเป็นแขกกลุ่มใหญ่ชุดที่สองเลยนะครับหลังจากงานรวมญาติเมื่อปลายปี รอบนั้นรวมกันได้มากที่สุดถึง 15 คนเลย”

ตัวบ้านตั้งอยู่บนที่ดินที่น้องสาวติดต่อซื้อมาหลังจากตามหาที่ดินที่ถูกใจอยู่นาน เดิมเป็นป่ารกกลางสวนผลไม้ที่ขนาบด้านเหนือ-ใต้ด้วยภูเขา 2 ลูก ทั้งพี่น้องต่างเห็นพ้องกันว่ายิ่งสร้างบ้านเร็ว ก็ยิ่งมีเวลาใช้ประโยชน์จากที่ดินมาก และนักออกแบบเพียงคนเดียวที่อยู่ในใจ ก็คือ คุณแก้ว-คำรน สุทธิ แห่ง ECO Architect สถาปนิกที่ ดร.โอรู้จักผ่านความชื่นชอบในจักรยาน การถ่ายภาพ รวมถึงคอนเซปต์การออกแบบตั้งแต่ยังไม่มีแผนจะสร้างบ้าน 

baan-klang-dong
บ้านสองชั้นคล้ายกับจะอิงอยู่กับภูเขาสูง ด้วยความลาดชันของภูมิประเทศรอบบ้าน จึงทำให้มองเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติได้อย่างชัดเจน

“เราบอกโจทย์ความต้องการไปว่า 5 ห้องนอน และอยากมีบ้านหลังเล็กๆ แยกออกไปอีก 1 หลังเพราะผมที่เป็นคนอยู่หลักจะใช้หลังเล็กมากกว่า นานทีจะใช้หลังใหญ่ ทุกห้องนอนต้องมีห้องน้ำในตัว เวลาเขยสะใภ้มาก็จะได้ใช้งานส่วนตัวได้อย่างสะดวก และห้องครัวต้องใหญ่ เพราะที่บ้านเวลารวมตัวกัน กิจวัตรประจำวันสมัยคุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ก็คืออยู่ทำกับข้าว แล้วถ้าลูกๆ มาพร้อมกันทุกคน แม่ผมจะทำขนมจีนแกงเขียวหวานหม้อใหญ่  แล้วปัญหาการทำกับข้าวที่บ้านเดิมคือคนอื่นๆ ไม่ค่อยได้เข้าไปช่วย เพราะแม่กับน้องสาวเพียง 2 คนก็เต็มครัว ถัดจากครัว ก็ห้องกินข้าว แล้วก็ห้องนั่งเล่น มีเท่านั้นเลยครับ” ดร.โอเริ่มต้นโจทย์แรกด้วยความต้องการพื้นฐานเป็นสารตั้งต้นของการออกแบบผัง ที่สถาปนิกนำไปออกแบบโดยผนวกเข้ากับไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบของเจ้าของบ้าน เพียงไม่เกิน 6 สัปดาห์ก็ออกมาเป็นแบบร่างบ้านที่เมื่อเห็นเพียงครั้งแรก ก็ตกลงใจสร้างบ้านเลย

baan-klang-dong
ต้อนรับเข้าบ้านด้วยแปลงกุหลาบของเจ้าของบ้าน และทิวต้นเสลาที่สถาปนิกเลือกมาปลูก เพื่อให้เติบโตเป็นอุโมงค์ดอกไม้ในหน้าร้อน ล้อไปกับสีแซมม่วงของภูเขาหน้าบ้านที่เต็มไปด้วยต้นเสลาเช่นกัน

จะรับแขกก็สบาย หรือปลีกวิเวกเร้นกายก็สะดวก

ตัวบ้านแยกออกเป็นอาคารหลังสองหลัง ได้แก่อาคารหลักเป็นบ้าน 4 ห้องนอนในความสูง 2 ชั้น ออกแบบมาเพื่อรองรับกิจกรรมในวันรวมญาติ ประกอบด้วยฟังก์ชันหลักคือ ส่วนนั่งเล่น ส่วนรับประทานอาหาร และครัว ที่เชื่อมถึงกันด้วยผังแบบโอเพ่นแปลน และการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่แม้จะเรียงตามตำแหน่งการใช้งาน ทว่าขนาดและดีไซน์นั้นดูใช้งานได้หลากหลายกิจกรรม จะนั่งเล่น ทำงาน เล่นดนตรี หรือจะขนผ้าห่มมานอนก็ทำได้ไม่ขัดเขิน

baan-klang-dong
ฝั่งหน้าบ้านหันไปทางทิศเหนือ มุมนี้จึงร่มเกือบทั้งวัน

“เราตั้งโจทย์การออกแบบด้วยตำถามว่าถ้ามาใช้งานพร้อมกันทั้งหมดจะอยู่ได้ไหม เพราะญาติๆ ผมมีหลายเจเนอเรชั่นครับ ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ รุ่นพี่น้อง รุ่นลูกหลาน ทุกคนต่างมีกิจกรรมของตัวเอง ก็เลยพยายามให้สเปซใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นที่สุด มีมุมที่ทุกคนสามารถมารวมตัวกันได้ ฟังก์ชันต่างๆ ในบ้านก็เคยดูคล้ายกับจะเป็นอะไรก็ได้”

ส่วนอาคารอีกหนึ่งหลังเป็นบ้านชั้นเดียวที่ ดร.โอ สมาชิกผู้มีโอกาสแวะเวียนมาบ้านบ่อยที่สุดใช้พักผ่อนเป็นหลัก โดยในวันปกติที่ญาติๆ ไม่ได้มารวมตัวกัน ดร.โอจะปิดบ้านหลังใหญ่และใช้เวลาส่วนใหญ่ในบ้านหลังเล็กนี้ ซึ่งประกอบด้วยห้องนอน ห้องน้ำ และส่วนนั่งเล่นพร้อมแพนทรี่เล็กๆ ในขนาดที่ใช้งานได้อย่างสบาย ไม่ใหญ่เกินไปสำหรับใช้งาน 1 คน ทั้งสองหลังประกอบกันเป็นมุมฉากเชื่อมถึงกันด้วยชานกลางแจ้งที่โอบล้อมสวน ภายในบ้านจึงมีพื้นส่วนตัวหลายระดับ เมื่อใช้พื้นที่ร่วมกันก็มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ หากต้องการความสงบก็ปลีกตัวไปหามุมบ้านเงียบๆ นั่งอ่านหนังสือโดยที่เรียกหาก็ยังได้ยิน และยังมีพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละครอบครัวเป็นห้องนอนพร้อมห้องน้ำในทุกๆ ห้อง จึงทำให้สมาชิกหลายวัย หลากความต้องการ มารวมกันได้โดยที่ไม่ต้องปรับตัวมากนัก “พี่น้องโตมาด้วยกันก็จริง แต่ถึงจุดหนึ่งก็ต้องการความเป็นส่วนตัว แล้วที่นี่ก็มีมุมบ้านที่ให้ความเป็นส่วนตัวได้ ไม่ต้องประจันหน้ากันตลอดเวลา”

โชว์โครงสร้างหลังคาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากองค์ประกอบของเกวียน พาหนะโบราณที่นอกจากจะใช้สัญจรแล้ว ก็ยังเป็นบ้านที่ปลอดภัยของนักเดินทาง
baan-klang-dong
เมื่อชีวิตจริงของการดูโทรทัศน์มักจะไหลจากท่านั่งไปเป็นนอน จึงวัดความสูงเฉลี่ยของคนในครอบครัว และสั่งทำโซฟาขนาดพิเศษเพื่อให้นอนดูโทรทัศน์ได้อย่างสบาย
เลือกใช้วัสดุที่มีความเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น เช่น ไม้เก่า ผิวปูนเปลือย กระเบื้องดินเผา มาเป็นองค์ประกอบบ้านที่เปิดให้แสงเงา สีสันธรรมชาติ และข้าวของเครื่องใช้เป็นตัวเอกในการเล่าเรื่องราว

บ้านตากอากาศล้อมสวน หัวใจท้องถิ่น

ที่ผสมผสานอยู่กับฟังก์ชันบ้านรองรับการใช้งานหลากไลฟ์สไตล์ คือบรรยากาศพื้นถิ่นที่แฝงอยู่ในวัสดุและรายละเอียดการออกแบบที่คิดมาจากบริบทในพื้นที่ ซึ่งเป็นหนึ่งในโจทย์หลักที่เจ้าของบ้านตั้งธงไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม “ในมุมผมเราเป็นคนแปลกหน้า มาอยู่ชุมชนนี้เราใหม่มาก แต่ไม่ต้องการให้รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ก็เลยอยากใช้วัสดุท้องถิ่นให้เยอะ เน้นการนำกลับมาใช้ใหม่ แล้วก็ให้บ้านอยู่กับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด” 

baan-klang-dong
เลือกใช้วัสดุที่มีความเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น เช่น ไม้เก่า ผิวปูนเปลือย กระเบื้องดินเผา มาเป็นองค์ประกอบบ้านที่เปิดให้แสงเงา สีสันธรรมชาติ และข้าวของเครื่องใช้เป็นตัวเอกในการเล่าเรื่องราว
ครัวไทยในบ้านล้อมด้วยเคาน์เตอร์คอนกรีตรอบห้อง เพื่อให้รังสรรค์สารพัดเมนูคาวหวานได้อย่างสบาย เสริมชั้นไม้เปิดโล่งข้างใต้ สำหรับจัดเก็บเครื่องครัวของน้องสาวผู้ชื่นชอบการทำอาหาร
ที่เชื่อมต่อกับครัวและห้องเก็บของ คือห้องซักรีดที่สามารถเข้าจากด้านข้างบ้านได้ เป็นมุมเซอร์วิสเล็กๆ สำหรับผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเลอะเทอะ จัดเก็บข้าวของ และรับแสงแดดตากผ้าได้โดยไม่ต้องกลัวฝน
กาแฟหอมกรุ่นและขนมจีนแกงเขียวหวาน เมนูเด็ดที่คอยต้อนรับการมาเยี่ยมเยือน

จากโจทย์ดังกล่าว จึงแปลงสู่การเลือกใช้วัสดุบ้านเรียบง่ายทว่ามีที่มา ด้วยการใช้คอนกรีตโชว์ผิวธรรมชาติ สื่อถึงหินปูน วัสดุท้องถิ่นที่กลายมาเป็นอุตสาหกรรมหลักของจังหวัดแห่งโรงปูนอย่างสระบุรี ผสานการใช้พื้นกระเบื้องดินเผาด่านเกวียนจากนครราชสีมา ไม้เก่าจากโรงไม้ในท้องถิ่น ไม้เทียมผลิตจากเศษวัสดุหมุนเวียนเพื่อลดการตัดไม้ รวมถึงทดลองผสมสีปูนฉาบด้วยดินในพื้นที่จนได้รั้วบ้านสีเด่นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนบ้านนำเทคนิคนี้ไปใช้ต่อด้วย

รั้วสีส้มจากดินแดง เกิดจากเจ้าของบ้านออกไอเดียกับสถาปนิก ให้ช่างลองนำจากดินธรรมชาติรอบบ้านผสมเข้ากับปูนขัดผิว จึงได้ผนังสีสวยที่ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติ
ใช้ไม้เทียมจากวัสดุรีไซเคิลเพื่อลดการตัดไม้ เมื่อนำมาประกอบกับสีสันของคอนกรีต และเส้นสายอาคารที่เชื่อมโยงกัน ก็ดูสบายตากลมกลืนไปกับธรรมชาติ
ราวกันตกนั่งเล่นได้ เพื่อป้องกันอันตรายโดยไม่ดูเป็นราวกันตกมากนัก ออกแบบโดยนำเหล็กข้ออ้อยทีเหลือใช้จากงานก่อสร้าง มาติดตั้งกับพื้นทำเป็นขารับแผ่นไม้เก่าจากโรงไม้ใกล้ใกล้บ้าน

สถาปนิกออกแบบตัวบ้านให้เปิดรับลมได้จากทุกจุดเพื่อให้อยู่สบายโดยไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ ด้วยผังห้องเรียงต่อกันเป็นแนวยาวคู่กับช่องเปิดกระจกกว้างที่เมื่อเปิดลมก็ผ่านตลอด วางแนวอาคารตามคติปลูกเรือนแบบไทยๆ ที่ยังใช้ได้ดีอยู่เสมอ “ภูมิปัญญาชาวบ้านสมัยก่อนของอีสาน บอกว่า เวลาปลูกเรือนให้ปลูกตามแนวตะวัน คือแนวตะวันออก-ตะวันตก เพราะว่าจะได้ไม่ร้อนมาก และทุกห้องก็จะได้รับลม” 

baan-klang-dong
ห้องนั่งเล่นของบ้านดูเป็นส่วนหนึ่งกับภูเขาที่ล้อมรอบตลอดเวลา ด้วยช่องเปิดกระจกกว้างในสเปซแบบ Open to Below และม่านโปร่งที่เจ้าของบ้านเลือกติดตั้งเพื่อให้มองเห็นธรรมชาติได้ตลอด
baan-klang-dong
สวนผักแบบผสมผสานจากฝีมือการจัดสวนของเจ้าของบ้าน ซึ่งดูแลเองตั้งแต่หว่านเมล็ดจนกระทั่งผลิดอกออกผล ซ่อนอยู่กลางวงล้อมของภูเขาและบ้านกลางดงเงียบสงบ

อีกหนึ่งจุดสำคัญสำหรับการสร้างบ้านคือการจัดการที่ดิน โดยสถาปนิกเล่าว่า “สัณฐานเดิมของที่ดินมีความชันค่อนข้างมากเนื่องจากอยู่ใกล้ภูเขา เราจึงวางผังบ้านให้ด้านหนึ่งชิดกับเนิน ชั้นล่างก็ทำเป็นใต้ถุนที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่นเก็บถังน้ำ เก็บอุปกรณ์การเกษตร” นอกจากยกใต้ถุนบ้านแล้ว ยังเสริมความปลอดภัยแก่การอยู่อาศัยด้วยการเกลี่ยหน้าดินลดความชันแทนการตัดถมจนเปลี่ยนทางน้ำธรรมชาติ  ทำรางน้ำคอนกรีตให้ไหลไปรวมยังบ่อหลังบ้าน เก็บน้ำไว้ใช้ในอนาคตได้

รางน้ำกันดินสไลด์ ป้องกันหน้าดินพังทลายจากแรงน้ำหลากด้วยการทำรางระบายคอนกรีต สร้างทางน้ำที่แข็งแรงให้ไหลลงบ่อน้ำหลังบ้านโดยไม่ชะหน้าดินจนเสียกาย

บ้านแห่งการปล่อยวาง

บรรยากาศชวนผ่อนคลายในบ้านส่วนหนึ่งมาจากของสะสมจากการเดินทางที่ทำให้บ้านเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และการออกแบบฟังก์ชันบ้านที่ดูเป็นอะไรก็ได้ อยู่ตรงไหนก็ได้  “ตอนทำบ้านผมวางคอนเซปต์ว่าอยากให้เป็นอะไรก็ได้ ไม่กำหนดห้อง ไม่มีห้องใครห้องมัน มาวันนี้อยากนอนชั้นล่าง เดือนหน้าอยากจะนอนชั้นบนก็ทำได้ เมื่อออกก็ให้นำของใช้ส่วนตัวออกมาเก็บของไว้ในห้องเก็บของที่คุณแก้วทําไว้ให้เนี่ยครับ ผมทำกล่องไว้ให้เป็นบ้านๆ คนอื่นมาก็อยู่แทนห้องนั้นได้เลย”

ห้องนอนทั้ง 4 เปิดมุมมองออกไปยังภูเขาหลังบ้าน ออกแบบคล้ายห้องโรงแรมโดยมีเพียงฟังก์ชันส่วนตัวอย่างโต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า และยกพื้นสำหรับวางฟูกนอน เพื่อเน้นการใช้เวลาร่วมกันที่ส่วนกลางของบ้าน
baan-klang-dong
ชั้น 2 ล้อมด้วยทางเดินกึ่งภายนอกที่เปิดให้เห็นวิวสวนในมุมสูง ออกแบบชายคาที่ยื่นยาวเพื่อลดความร้อนจากแสงแดดระหว่างวัน
ระเบียงกว้างที่เด็กๆ ชอบมานอนดูดาว เจ้าของบ้านเล่าว่าบริเวณนี้เป็นหนึ่งในแหล่งดูดาวที่ดีที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังเจาะช่องหลังคากลมเป็นลูกเล่นน่ารักๆ ที่ทำให้มองเห็นดาวแม้อยู่ในบ้านด้วย

“บ้านนี้ออกมาเหมือนเป็นบ้านสําหรับปล่อยวางครับ แล้วผมก็พร้อมนะถ้าสมมติแล้วมีคนอื่นจะนอนห้องนี้ผมก็ย้ายมานอนห้องอีกห้องแทน ไม่ยึดมั่นถือมั่น และยังออกแบบให้เป็นยูนิเวอร์แซลด้วย สมมติบ้านไหนพาผู้ใหญ่มา ขึ้นบันไดไม่ไหว ก็สามารถเข็นวีลแชร์ไปหลังที่ผมอยู่ได้เลย  เพราะผมก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากเสื้อผ้าที่มีอยู่จำนวนจำกัด ผมยกเตียงให้เลย อย่างมากก็เปลี่ยนผ้าปูที่นอนปลอกหมอน แล้วผมก็พร้อมมานอนห้องใดห้องหนึ่ง

baan-klang-dong
ไม่ไกลจากอาคารหลัก เป็นบ้านหลังเล็กที่ดร.โอ๋ใช้พักผ่อนเป็นประจำ เมื่ออยู่คนเดียวก็ปิดบ้านใหญ่ ใช้งานเพียงหลังเล็กก็เพียงพอ
baan-klang-dong
ห้องนั่งเล่นย่อส่วนลงมาจากบ้านหลังใหญ่ ออกแบบให้ใช้ทั้งเตรียมอาหาร จัดเก็บข้าวของเครื่องแต่งตัว และพักผ่อนนั่งดูโทรทัศน์ได้ในห้องเดียวกัน
กั้นผนังส่วนหนึ่งเป็นห้องนอนหันออกไปด้านท้ายสวน เป็นมุมส่วนตัวที่ ดร.โอโปรดปราน จึงแบ่งมุมหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะทำงานวิวสวย

ไม่เพียงแค่ฝึกใจให้ปล่อยวางในเวลาที่อยู่กับผู้อื่น แต่เมื่ออยู่อย่างสันโดษ บ้านนี้ก็เป็นที่ฝึกใจอยู่กับควางเงียบสงบผ่านการอยู่กับบ้าน เก็บกวาด ทำสวน “ความเงียบเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตผมตอนนี้นะ เพราะความเงียบช่วยเยียวยา ช่วยเติมพลังให้ผมได้มาก”

“ที่ผมปลูกดอกไม้สีสวยเพราะต้องการให้มีแมลง ผมปลูกมะเขือเทศที่บ้านเมืองนนฯ ไม่เคยได้เลย เป็นดอก แต่ไม่ติดลูก เพราะในย่านที่ผมอยู่ไม่มีแมลงผสมเกสร (pollinators) แต่ที่นี่มีแมลงมาช่วยเยอะ”
baan-klang-dong
“คอนเซปต์ที่ต้องการคืออยากให้เป็นฟาร์มเฮาส์ออกเอเชียนสไตล์หน่อย มีกลิ่นอายของความเป็นโลคอล เรื่องของวัสดุเราก็เลยคุยกันว่า จะพยายามใช้วัสดุที่อยู่แถวนี้”

“กลับมาบ้านนี่คือชาร์จแบตทุกทุกครั้ง ทําความสะอาดบ้าน กวาดลาน เก็บใบไม้แห้ง ตัดดอกกุหลาบแห้ง ผมอยู่กับสวนนี่ผมไม่คิดเรื่องอื่นเลย 3 ชั่วโมงคือผมโฟกัสกับสิ่งที่ผมทํา อย่างนั้นพระท่านก็บอกว่าคือสมาธิ ไม่จําเป็นจะต้องนั่ง เพียงเราทำบางสิ่งอยู่ ใส่สติเข้าไปอีกนิดเดียวให้รู้ว่ากําลังทําอะไรอยู่ นั่นคือสติ พอมีสติ มีสมาธิ เดี๋ยวปัญญามันก็เกิด”

baan-klang-dong
“นอนที่นี่ผมหลับลึก ตื่นมาสดชื่นไม่มีอาการมึนๆ เหมือนนอนห้องแอร์ อยู่กรุงเทพต้องเปิดแอร์ตลอดไม่เปิดไม่ได้  อยู่ที่นี่หายใจได้เต็มปอด สุขภาพดีขึ้นเยอะมาก และสามารถสู้กับการขับรถไปกลับกรุงเทพฯ ได้อาทิตย์ละ 4 วัน”

เจ้าของ ครอบครัวกาญจนโอภาษ

ออกแบบสถาปัตยกรรม : ECO Architect


เรื่อง : ณัฐวรา ธวบุรี

ภาพ : อภินัยน์ ทรรศโนภาส และธนายุต วิลาทัน

สไตล์ : Suntreeya


แบบบ้านสวนหลังเล็กๆ มีระเบียง อยู่แบบชิลๆ กับธรรมชาติ

บ้านสีขาวริมสวน ในป่าธรรมชาติ ของเต้ย-จรินทร์พร

ติดตามบ้านและสวน