ย่างเข้าสู่ช่วงปลายปีแล้ว ย่างเช้าที่ลมหนาวโชยมา การได้มีกาแฟอุ่นๆซักแก้วนั่นถือได้ว่าเป็นเรื่องแสนวิเศษ ยิ่งถ้ากลั่นชงมาด้วยความตั้งใจจนได้กาแฟเลิศรสด้วยแล้วก็นับได้ว่าเป็นความฟินของยามเช้าอย่างถึงที่สุด แต่ใคร่จะออกจากบ้านไปยังร้านกาแฟดีๆนั้น บางครั้งก็อาจจะหมดความชิลไปเสียก่อน ฉะนั้น วันนี้ How it Works จึงอยากจะขอพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับเครื่องกาแฟง่ายๆที่ชงกินเองได้ที่บ้านในหลากหลายวิธีการ คุณลักษณะ และรูปแบบ
พลังความร้อน
4. Moka Pot
วิธีการชงดั้งเดิมของกาแฟแบบ Espresso ซึ่งคิดค้นขึ้นมาโดยบริษัท Bialetti โดยส่วนใหญ่จะเป็น Moka Pot แบบ Stove Top คือวางไว้บนเตาให้ความร้อนนั่นเอง วัสดุโดยทั่วไปจะทำจาก อลูมิเนียมและ Bakelite ในส่วนของด้ามจับกันความร้อน หากใครที่ชอบกาแฟที่เข้มข้นถึงแก่นแล้วล่ะก็ วิธีนี้ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน
กลไกการทำงาน : เมื่อใส่น้ำลงไปใน Reservoir คือส่วนล่างของ Moka Pot ตามขีดที่บอกไว้แล้ว ก็นำกาแฟที่บดดีแล้วใส่ลงไปในกรวยให้พอดีกับขอบกรวย(กดผงกาแฟให้พอดีอย่างแน่นเกินไปกาแฟจะไหลออกยาก) จากนั้นจึงติดตั้งลงใน Reservoir และขันส่วนพวยด้านบนให้แน่นแต่พอดี นำ Moka Pot ตั้งบนไฟปานกลาง เพียงไม่นาน แรงดันจากน้ำที่เดือดด้านล่างจะพุ่งผ่านผงกาแฟและกลายเป็นกาแฟร้อนๆสู่ส่วนบนของ Moka Pot พร้อมให้รินเสริฟต่อไป
- ข้อดี : ด้วยความที่เป็นเครื่องแบบ Stove Top ทำให้นอกจากจะใช้ในบ้านแล้วยังนิยมพกไปใช้ในเวลาเดินทาง เช่น เดินทางไปตั้งแคมป์เป็นต้น สามารถสกัดกาแฟ Espresso ได้ในการใช้งานที่คล่องตัว
- ข้อเสีย : ล้างทำความสะอาดยากพอสมควร และกาแฟที่ได้มักจะมีความ “ไหม้” กว่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล
5. Siphon Coffee
หนึ่งในวิธีการชงกาแฟด้วยพลังงานความร้อนที่เก่าแก่ที่สุด โดยถือกำเนิดขึ้นในช่วง 1840’s จากความร่วมมือของคู่สามีภรรยาชาวฝรั่งเศษและสกอตแลนด์โดยที่สามีชาวสกอตแลนด์นั้นมีอาชีพเป็นวิศวกร เจ้าเครื่องแก้วและตะเกียงแอลกอฮอลล์ที่ดูเหมือนอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถสกัดกาแฟในอารมณ์คล้ายชาจึงได้รับใช้คอกาแฟเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
กลไกการทำงาน : กรวยแก้วทรงกระบอกที่ด้านบนทำหน้าที่ไว้ใส่กาแฟ ส่วนขวดรูปชมพู่ด้านล่างมีไว้ใส่น้ำ เมื่อให้ความร้อนด้วยตะเกียงแอลกอฮอลล์จนน้ำไหลผ่านผ้ากรองขึ้นไปสู่กรวยด้านบนก็ให้ใส่กาแฟที่บดแล้วลงไปในกรวยทรงกระบอก คนให้เข้ากันและปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นจึงดับตะเกียงเสีย น้ำกาแฟจะถูกดูดกลับลงไปยังขวดรูปชมพู่โดยกรองกากกาแฟเอาไว้ที่ผ้ากรองซึ่งอยู่ในส่วนบนบริเวณกรวยทรงกระบอกนั้นเอง จับทั้งสองส่วนแยกกัน และกาแฟก็พร้อมเสริฟ
- ข้อดี : Siphon Coffee เป็นหนึ่งในวิธีการชงกาแฟที่ตรึงตาผู้ชมได้เป็นอย่างดี ได้กาแฟนุ่มนวลละมุนลิ้น และทานง่าย
- ข้อเสีย : ขั้นตอนยุ่งยากและต้องการการดูแลล้างทำความสะอาดมากกว่าวิธีอื่นๆ
พลังไฟฟ้า
6. HX Espresso Machine
เราจะขอข้ามเครื่องทำ Espresso รุ่นเล็กราคาประหยัด ไปที่รุ่นกลางราคาพอประมาณอย่างเครื่องประเภท HX Espresso Machine ซึ่งพัฒนามาจากเครื่องรุ่นคลาสสิคอย่าง Feama E61 (หลายๆท่านจึงอาจติดคำว่า E61 ตามชื่อรหัสรุ่นแต่ดั้งเดิม) ด้วยเพราะความแม่นยำที่ควรค่ากว่าในทุกเช้าและทุกแก้วของคุณ และเมื่อคุณเริ่มจับเครื่อง Espresso Machine แล้ว ก็ต้องขอต้อนรับเข้าสู่โลกอันซับซ้อนและหลากหลายในรสกลิ่นอันเย้ายวนของกาแฟจริงๆกันเสียที
กลไกการทำงาน : ระบบ Heat Exchanger เป็นระบบที่สร้างมาเพื่อให้น้ำที่ใช้สำหรับชงกาแฟนั้นมีอุณหภูมิที่คงที่และทำงานได้ต่อเนื่องไม่ต้องรอต้มน้ำใหม่ กลไกภายในก็คือหม้อต้มน้ำที่จะสร้างความร้อนและแรงดัน แต่หม้อส่วนนี้นั้นจะใช้งานกับท่อจ่ายน้ำร้อนและท่อส่งไอน้ำเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อเราต้องการชงกาแฟผ่านหัวชง น้ำที่เก็บไว้อีกส่วนหนึ่งจะถูกแม่ปั้มดันให้วิ่งผ่านขดท่อที่จะแลกเปลี่ยนความร้อนภายในหม้อต้มก่อนจะผ่านหัวชงทองเหลืองสำหรับคงอุณหภูมิและดันออกมาที่กาแฟที่อยู่ในก้านชงอีกที เท่านี้ก็จะได้กาแฟ Espresso แท้ๆสำหรับทำเมนูใดๆต่อไปก็ได้ ข้อดีอีกอย่างคือไม่จำเป็นต้องเดินระบบน้ำ(สำหรับหลายๆรุ่น)ทำให้เป็นเครื่องทำกาแฟระบบที่ค่อนข้างง่ายในการติดตั้งคล้ายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป
- ข้อดี : มีความต่อเนื่อง ใช้งานได้หลากหลาย เคลื่อนย้ายได้ไม่ยุ่งยากนัก
- ข้อเสีย : ต้องการการดูแลเช่นล้างหม้อต้ม เปลี่ยนอะไหล่ประเก็น จึงความค่าความสิ้นเปลืองสูงกว่าแบบแรกๆ แต่สำหรับคอกาแฟแล้วนั้น อะไรจะคุ้มค่าไปกว่ากาแฟดีๆซักแก้วเล่า
7.Double Boiler Espresso Machine
และก็มาถึงที่สุดของเครื่องกาแฟสำหรับชงกินเองที่บ้าน ซึ่งด้วยรูปลักษณะ ของเครื่องแล้วบางท่านอาจจะนึกว่าจะไปเปิดร้านกาแฟ แต่สำหรับผู้จริงจังในสุนทรีรสแห่งกาแฟและความเที่ยงตรงคือหัวใจในการค้นลึกเข้าไปสู่โลกของการชงกาแฟแล้ว เครื่องชง Espresso Machine แบบแยกหม้อต้มนับได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก
กลไกการทำงาน : สิ่งที่ต่างไปจากระบบ Heat Exchanger ก็คือ ในระบบ Double Boiler นั้นจะแยกหม้อต้มระหว่างน้ำที่ใช้ชงกาแฟ กับน้ำร้อนอื่นๆออกจากกัน โดยปั้มจะดึงน้ำจากหม้อต้มสำหรับการชงโดยเฉพาะเมื่อเริ่มการสกัด ซึ่งจะทำให้การชงกาแฟนั้นสามารถกำหนดอุณหภูมิและแรงดันได้อย่างเป็นอิสระตามการออกแบบของผู้ชงเองเลยทีเดียว ยิ่งกว่านั้น ในเครื่องชงบางรุ่นยังมีหัวชงที่สามารถกำหนดการไหลของน้ำร้อนได้อย่างเที่ยงตรงเพื่อให้ตั้งแต่หัวจรดปลายของการสกัดกันเลยทีเดียว
- ข้อดี : เที่ยงตรง แม่นยำ ออกแบบการชงได้อย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ แรงดัน และเวลาในการชง จนถึงปริมาณน้ำต่อครั้ง
- ข้อเสีย : ราคาสูง การดูแลและการใช้งานต้องการความชำนาญอย่างมาก แต่เมื่อคุณเข้าถึงมันได้แล้วล่ะก็…โลกของกาแฟก็จะเปิดกว้างอย่างที่คุณไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยเชียวล่ะ
เรื่อง : วุฒิกร สุทธิอาภา
ภาพประกอบ : ภาสกร เจยาคม