Venice Biennale 2017: ศิลปะเป็นสิ่งมีชีวิต และหัวใจของมันยังเต้นแรงอยู่
ผมโชคดีที่หน้าที่การงานพาผมไปร่วมงานเทศกาลดีๆทั่วโลกตลอด คราวนี้ผมอยู่ที่งานศิลปะนานาชาติ Venice Biennale 2017 ประเทศอิตาลี งานนี้จัดขึ้นทุกสองปีในเมืองเกาะเก่าแก่ที่ผมมาเป็นครั้งที่ 5 แต่ไม่เคยมาตรงกับเวลาจัดงานเลย แม้จะมีเวลาเดินน้อยแต่ก็ฟินมาก เพราะได้คุยกับคนที่ตื่นเต้นในเรื่องเดียวกัน และได้เจอคนไทยหลายคนด้วย
เวนิสเป็นเมืองที่สวยงามจับใจ การเดินเท้าผสมกับการนั่งเรือชมเมืองเป็นอะไรที่สนุก ที่นี่จึงมีนักท่องเที่ยวมากมายจนผมไม่สามารถหลบก้านเซลฟี้ได้หมด นอกจากนั้นก็มีศิลปินและคนที่สนใจงานศิลปะจากทั่วโลกตามมาสมทบอีก งานนี้จัดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายน งานใหญ่ เวลาน้อย และคนเยอะทำให้ผมดูงานได้ไม่หมดแต่ขอลงรูปแชร์ไว้ตรงนี้เผื่อใครสนใจวางแผนมาดูกัน
ผมแวะไปศาลาของประเทศไทยในวันที่มีพิธีเปิด มีผู้หลักผู้ใหญ่มาร่วมงานมากมาย จึงไม่ได้ดูผลงานที่แสดงอย่างละเอียด แต่มีความเห็นส่วนตัวว่าโดยรวมงดงามอย่างไทยเดิม แต่สื่อสารความเป็นไทยแบบปัจจุบันได้เรียบร้อยไปหน่อย ถึงขนาดมีฝรั่งมาถามว่าเป็นงานเปิดที่สวยดี อาหารอร่อยมากแต่นิทรรศการจริงอยู่ไหน เพราะคนต่างชาติอาจจะมีความรู้สึกว่าศิลปะร่วมสมัยของเราน่าจะสนุกสนานร่าเริงกว่านี้ ภายในงานถ่ายรูปยากเหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของโบราณผนวกกับงานพิธีเปิดผมเลยมีแต่รูปสูจิบัตรมาให้ดู เข้าไปชมรายละเอียดได้ที่นี่ครับ >> http://www.thaipavilion2017.com
ส่วนงานของประเทศอื่นๆ มีหลายประเทศที่เขาทำให้คนที่เพิ่งหัดดูงานศิลปะมีอารมณ์ร่วมกับผลงานศิลปะด้วยการจัดวาง การนำเสนอ และกิจกรรมที่ ทำให้คนดูเป็นส่วนนึงของชิ้นงานศิลปะ เช่นประเทศญี่ปุ่น >> http://www.designboom.com/…/japan-pavilion-venice-art-bien…/
แต่ที่น่าสนใจคือในเทศกาลศิลปะนี้ไม่เหมือนการจัดงาน World Expo ตรงที่ไม่ใช่เฉพาะศิลปินที่เป็นตัวแทนของแต่ละประเทศเท่านั้นที่ได้มาแสดงงาน มีผลงานศิลปินอิสระที่รวบรวมและจัดการโดยภัณฑารักษ์จากทั่วโลกมาจัดแสดงร่วมกันได้อย่างไร้พรมแดน ในภาษาศิลปะที่ใช้ความรู้สึกสื่อสารกัน
โซนที่ผมชอบที่สุดเรียกว่า “Arsenale” ซึ่งเคยเป็นฐานทัพเรือและอู่ซ่อมเรือของเมืองเวนิส โกดังอิฐโครงหลังคาเพดานไม่สูงเหมาะกับการเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะชั่วคราวอย่างน่าอัศจรรย์ โกดังนับสิบหลังเชื่อมต่อถึงกันเป็นแนวยาว สำหรับคนที่ชอบสถาปัตยกรรม แค่ได้มาเดินในนี้ก็สุดยอดในตัวของมันแล้ว
ผลงานในโซนนี้มีทั้งที่เป็นในนามประเทศต่างๆ แต่ส่วนมากจะเป็นการคละศิลปินจากทั่วโลกมารวมกันเป็นกลุ่มก้อนตามแนวคิดของงาน ทุกผลงานถูกติดตั้งและนำเสนออย่างน่าค้นหา น่าทำความเข้าใจ ศิลปะทำให้สาระหนักๆเป็นเรื่องสนุกได้ เศร้าตามก็ได้ คิดตามแรงบันดาลใจได้ไกล จนลืมเวลา ลืมพัก ลืมกินกันเลยทีเดียว
นอกจากโซนจัดงานใหญ่ๆแล้ว ภัณฑารักษ์หลายคนเลือกที่จะจัดแสดงงานตามตึกเก่าต่างๆรอบเมือง ทั้งใจกลางบริเวณท่องเที่ยว หรือออกไปไกลสุดของเกาะจนไม่มีใครหลงมาถ้าไม่ตั้งใจมาดูศิลปะ หนึ่งในนิทรรศการที่ผมได้ไปดูคือ “Islands of the Stream” มีผลงานศิลปินไทยรุ่นใหม่สองคนแสดงด้วย คืออานนท์ ไพโรจน์ และ กวิตา วัฒนะชยังกูร จัดแสงในอู่ซ่อมเรือที่ยังใช้งานอยู่ ร่วมกับศิลปินเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ โดยมีภัณฑารักษ์เป็นคนญี่ปุ่น www.alamakproject.com
ศิลปินทุกคนไม่ได้พูดถึงประเทศตัวเองในมุมของความวิจิตรของศิลปะประจำชาติแต่อย่างใด หากแต่เป็นการดึงประเด็นของสังคมมานำเสนอ และให้โอกาสผู้มาชมตีความกันได้โดยไม่ต้องมีสูติบัตรมาเป็นกำกับ มีทั้งเรื่องความไม่เท่าเทียม ความด้อยโอกาส ความสุข ความทุกข์ ความอดทน และสิ่งต่างๆที่ร่วมสมัยจริงๆ นำเสนอด้วยชิ้นงานสามมิติ จับต้องได้ มีภาพเคลื่อนไหว มีเสียง ถ้าศิลปะเป็นสิ่งมีชีวิต เราจะสัมผัสถึงหัวใจของมันที่ยังเต้นอยู่จากงานศิลปะแบบนี้
เข้ามาในส่วนกลางเมือง ก็มาเจออีกนิทรรศการนึงชื่อ Venice Design ซึ่งจัดโดยภัณฑารักษ์ชาวอิตาเลียน ในธีมของชิ้นงานศิลปะที่อาจจะไม่ได้สร้างขึ้นโดยคนที่เป็นศิลปินจริงๆ ส่วนมาจะเป็นนักออกแบบแขนงต่างๆเช่น สถาปนิก มัณฑนากร กราฟฟิกดีไซเนอร์ และนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ผลงานในส่วนนี้จึงดูเป็นของใช้แต่อาจจะไม่ได้มีไว้ให้ใช้จริงๆ เอาไว้แต่งบ้านได้แต่ก็แฝงไปด้วยแนวคิดแบบงานศิลปะ ที่สำคัญตรงนี้ก็มีนักออกแบบไทยจากสำนักงานออกแบบ Jarken ไปแสดงด้วย ในผลงานชื่อ “Freezing the Heart” ซึ่งต่อยอดมาจากผลงาน “Freezing the Moment” ที่เคยจัดแสดงมาแล้วในรูปแบบของวัสดุตกแต่งอาคารที่ได้แรงบันดาลใจจากความสวยงานของคราบสนิม และตำหนิบนพื้นผิวของแผ่นเหล็กเหลือใช้ที่พบได้ตามไซต์งานก่อสร้าง
ขาเพลียมากเพราะเที่ยวเมืองเก่าแบบนี้ต้องเดินเท่านั้นถึงจะได้บรรยากาศจริงๆ แต่ยังอยากเดินต่ออีกสักสัปดาห์และดูผลงานให้ครบทุกชิ้นทุกมุมเกาะ ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้และไม่แน่ใจว่ามีคนทำได้
สุดท้ายก็ภูมิใจในความสามารถของศิลปินไทย ยังมีอีกหลายคนที่ผมอยากให้มีโอกาสมาแสดงงานที่นี่ให้คนทั่วโลกเห็นว่าเรามีมากกว่าอาหารอร่อย ความวิจิตรประดิดประดอย และสถานที่ท่องเที่ยว
อยากให้เมืองไทยมีเทศกาลศิลปะนานาชาติในเมืองและทางเท้าที่เดินได้แบบนี้ คนทั่วโลกจะได้มาดูพร้อมๆกับคนไทยเองด้วย