One Ounce for Onion at Changchui ร้านกาแฟเดิม เพิ่มเติมคือมาอยู่ฝั่งธนฯ

เข้าสู่ปีที่ 5 ของ One Ounce for Onion ร้านกาแฟคุณภาพในซอยเอกมัย 12 ซึ่งประจวบเหมาะกับที่โครงการสุดแนวอย่าง “ช่างชุ่ย” ได้เริ่มเปิดดำเนินการพอดิบพอดีร้านกาแฟแห่งนี้จึงได้ฤกษ์ก้าวออกมาสู่พรมแดนใหม่ในย่านฝั่งธนบุรี

One Ounce for Onion

“ตอนแรกยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะมาแต่พอรู้ว่าจะได้เปิดร้านในพื้นที่ที่ชื่อ ‘หย่อนญาณ’ ซึ่งจะเป็นโซนรวมกิจกรรมที่ชวนให้ผ่อนคลาย นอกจากร้านของเราแล้วก็ยังมีร้านหนังสือThe Booksmithและร้านเครื่องเขียนLamuneก็คิดว่าคงเป็นเคมีที่สนุกอย่างแน่นอน”

คุณฟ้า – นิโรธา วีรธรรมพูลสวัสดิ์ผู้ก่อตั้ง เริ่มต้นเล่าให้เราฟังซึ่งเมื่อถามถึงความแตกต่างของร้านสาขาเอกมัยกับช่างชุ่ยก็ได้คำตอบที่น่าสนใจว่า“มีคนถามว่าสองสาขานี้ต่างกันไหมก็จะตอบว่ามีทั้งส่วนที่เหมือนและต่างที่เหมือนเดิมคือเรายังตั้งใจและจริงจังกับการทำกาแฟเราอยากส่งเสริมความหมายของกาแฟให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นอยากให้คนได้ดื่มกาแฟดีๆยิ่งได้มาอยู่ฝั่งธนฯซึ่งยังมีร้านกาแฟแบบ Specialty น้อยเราก็ดีใจที่จะได้ออกไปในที่ที่จะได้เจอกับคนกลุ่มอื่นมากขึ้นแต่ถ้าถามว่าต่างจากสาขาที่เอกมัยอย่างไรก็คงเป็นเรื่องครัวซึ่งจะมีลักษณะเต็มรูปแบบมากขึ้นเราคิดกันในทีมว่าเครื่องดื่มอื่นๆที่อยู่ในร้านกาแฟมักมาในรูปแบบเดิมๆซ้ำซากเราจึงตั้งใจที่จะนำเสนอทั้งเครื่องดื่มและอาหารในแบบของเรา โดยเริ่มตั้งแต่หาวัตถุดิบทำส่วนผสมเองตลอดจนคิดสูตรอาหารและเครื่องดื่มที่มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งเราเรียกว่าการ Paring คือถ้าคุณสั่งอาหารอย่างเดียวหรือสั่งเครื่องดื่มอย่างเดียวมันก็จะอร่อยในแบบของมันแต่ถ้าสั่งอาหารคู่กับเครื่องดื่มที่เราออกแบบไว้คุณจะได้รับประสบการณ์ทางรสชาติกลิ่นและสัมผัสที่มากกว่าเดิม”

One Ounce for Onion

เรามีโอกาสได้ลองชิมเมนู Paring 2 เมนูได้แก่ Dirty Birds คู่กับ E-sarn Classic  และ The Chinglish Baby in Seuol City คู่กับ Lady Yaowaratบอกเลยว่าได้ประสบการณ์การรับรสที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

“เมนูของเรามีนิยามอยู่สองคำคือParingและ Sharing เราอยากให้ลองจับคู่อาหารกับเครื่องดื่มโดยเฉพาะเราอยากให้คนที่มาด้วยกันอาจจะสั่งกันคนละอย่างสองอย่าง เพื่อจะได้ร่วมแบ่งปันอาหารและเครื่องดื่มอันจะเป็นการได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ที่มีร่วมกันเพราะเราเชื่อว่าประสบการณ์แบบนั้นคงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ได้ร่วมแบ่งปันกัน”

Dirty Birds และ E-sarn Classic : ไก่ทอดที่ดูเหมือนจะหารับประทานได้ทั่วไปแต่แตกต่างตรงที่มีการใช้ซอสพิเศษและถั่วคั่วโรยผักชีและท็อปหน้าด้วยแตงกวาซึ่งดองในน้ำอาจาดสไตล์ไทยกลายเป็นจานไก่ทอดที่ผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกเข้ากับไทยสตรีทฟู้ดได้อย่างลงตัวเข้าคู่กับเครื่องดื่ม E-Sarn Classic ซึ่งเป็นม็อกเทล (ไร้แอลกอฮอล์) ทำจากน้ำมะเขือที่กรองจนใสเขย่าในน้ำแข็งกับน้ำเชื่อมจากเครื่องต้มยำซึ่งทั้งสองเมนูจะเสริมกันด้วยรสชาติของเครื่องต้มยำและเครื่องเทศร่วมด้วยความกลมกล่อมของซอสถั่วและไก่ทอดซึ่งตัดกับความสดชื่นแบบไทยๆของเครื่องดื่ิม
The Chinglish Baby in Seuol CityและLady Yaowarat :ลูกเสี้ยวทางอาหารซึ่งประกอบด้วยแป้งยอกกี้ของอิตาลีนำไปผัดกับซอสโคชูจังของเกาหลีเติมพริกเสฉวนของจีนและอาหารซีฟู้ดอย่างกุ้งปลาหมึกและหอยลายจากนั้นจึงท็อปหน้าด้วยชีสและไชเท้าดองเสิร์ฟคู่กับเครื่องดื่มที่ทำจากทับทิมอินเดียและไซรัปพุทราจีนเขย่าในน้ำแข็งจัดเสิร์ฟท็อปด้วยเยลลี่พุทราจีนติดทองคำเปลวก่อนหยดน้ำตาลสกัดจากน้ำทับทิมทั้งสองเมนูมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมจีนโดยที่ความเผ็ดในซอสเสฉวนเข้ากันได้อย่างลงตัวกับความหวานฉ่ำของทับทิม

 

สำหรับการตกแต่งภายในร้านจะอิงตามธีมของช่างชุ่ยลักษณะเป็นสไตล์วินเทจ-อินดัสเทรียลที่เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์เก่าแท้ๆแต่ความน่าสนใจคือที่นี่เป็นบาร์เปิดที่สามารถเห็นขั้นตอนการทำเครื่องดื่มได้ทุกชนิดมีทั้งพื้นที่ด้านหน้าให้ได้ใกล้ชิดกับบาริสต้าและพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวตามมุมต่างๆซึ่งกั้นด้วยชั้นหนังสือหากคุณอยากละเลียดเครื่องดื่มไปพร้อมกับอ่านหนังสือดีๆแนะนำให้มาวันธรรมดาแต่หากอยากเห็นบรรยากาศดีๆของคนทำกาแฟก็ควรมาวันอาทิตย์ที่ชาว One Ounce for Onion เข้าบาร์กันพร้อมหน้าครับ

เปิดบริการทุกวัน (เว้นวันจันทร์) เวลา 11.00 น. -20.00 น.

โทรศัพท์ 0-2116-6076 / Facebook : https://www.facebook.com/oneounceforonion/

อ่านต่อ : ช่างชุ่ย : สู่ขอบฟ้าใหม่ของชุมชนคนสร้างสรรค์

 

ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข