นับครั้งไม่ถ้วนที่เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือน “เถ้าฮงไถ่” โรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่คู่เมืองราชบุรี และหลายต่อหลายครั้งที่เราได้พูดคุยกับ คุณวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ศิลปินเซรามิกและทายาทรุ่นที่ 3 ถึงความเป็นไปในแวดวงศิลปะและเซรามิกไทย แต่การพบกันคราวนี้กลับแตกต่างออกไป อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่สงบแฝงด้วยความมุ่งมั่นของทุกคนที่อบอวลอยู่ภายในโรงงาน
เมื่อเถ้าฮงไถ่ได้รับโอกาสในการจัดทำ “กระถางเซรามิกประดับพระเมรุมาศ” ทั้งหมดที่ใช้ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เขาจึงเปรียบเสมือนหัวเรือใหญ่ที่นำพาสมาชิกในโรงงาน รวมถึงจิตอาสาทุกคนร่วมกันสร้างสรรค์หนึ่งในองค์ประกอบทางภูมิสถาปัตยกรรมของพระเมรุมาศให้สำเร็จลุล่วงในเวลาอันจำกัด
งานสำคัญครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ของเถ้าฮงไถ่ นับจากประสบการณ์สองครั้งก่อนหน้านั้นกับการจัดทำกระถางประกอบงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีกระถางกว่า 250 ใบที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ บางส่วนจึงได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงมาจากกระถางชุดเก่าในงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติฯ โดยมีต้นแบบมาจากกระถางในพระบรมมหาราชวังซึ่งนำเข้ามาจากอิตาลีในสมัยรัชกาลที่ 5 อีกส่วนคือกระถางเก้าเหลี่ยมที่ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ และกระถางเขามอแบบโบราณ
สำหรับคุณวศินบุรีแล้ว เราอาจเคยคุ้นกับงานศิลปะเครื่องปั้นดินเผาสีสันจัดจ้า และบทบาทของการเป็นผู้บุกเบิกแนวทางการสร้างเมืองราชบุรีให้เป็นเมืองศิลปะตามแบบที่เขาใฝ่ฝัน แต่การออกแบบเครื่องปั้นดินเผาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีครั้งนี้ ย่อมต้องคำนึงถึงหลักโบราณราชประเพณีและความสง่างามสมพระเกียรติ ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นงานศิลปะร่วมสมัยที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งทั้งในด้านรูปแบบและงานฝีมือ ซึ่งทั้งหมดนี้เขาได้สร้างขึ้นจากการหลอมรวม “ความรู้สึกเบื้องลึก” เข้ากับ “องค์ความรู้ดั้งเดิม” ที่สั่งสมมาเกือบศตวรรษของเถ้าฮงไถ่
หลอมรวมวัฒนธรรมและยุคสมัย : ศิลปะแห่งรัชกาลที่ 9 หลักฐานจากสมัยกรุงศรีอยุธยาทำให้เชื่อได้ว่า มีการใช้กระถางดินเผามาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หรือก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นการนำเครื่องปั้นดินเผาเข้ามาในราชอาณาจักรไทยผ่านการค้าขายกับชาวจีนและญี่ปุ่น หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ ได้รับการผสมผสานและมีวิวัฒนาการจนกลายเป็นงานศิลปะตามแบบฉบับของไทย นอกเหนือไปจากความประณีตงดงามสมพระเกียรติแล้ว อาจกล่าวได้ว่ากระถางชุดนี้เป็นเสมือนอีกหนึ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการและบทบาทของงานเซรามิกร่วมสมัยในสมัยรัชกาลที่ 9 ผ่านรูปแบบลวดลายที่ผสมผสานวัฒนธรรมและการผลิตที่ต้องใช้ความประณีตบรรจง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สะท้อนภูมิปัญญาเครื่องปั้นดินเผาท้องถิ่นที่สืบทอดมายาวนาน
“รากเหง้าประวัติศาสตร์เครื่องปั้นดินเผาโดยรวมของโลกส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน ตลอดระยะเวลาหลายพันปี เซรามิกถูกทำซ้ำในทุกช่วงทุกสมัย จริง ๆ ต้องบอกว่าในงานเซรามิกของโลกมีความเชื่อมโยงกันทางใดทางหนึ่งอยู่แล้ว อย่างเถ้าฮงไถ่ก็ได้รับอิทธิพลจากบรรพบุรุษจากเมืองจีนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน”
“ผมจึงอยากผสมผสานวัฒนธรรมทั้งไทย – จีน ความร่วมสมัย – ความดั้งเดิม สิ่งที่เราทำคือการต่อยอดจากสิ่งที่พ่อเคยทำ โดยพยายามเสริมสิ่งใหม่เข้าไป อย่างงานนี้ก็เป็นการผสมผสานของงานเซรามิกดั้งเดิมกับคอนเซ็ปต์ร่วมสมัย สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนจับคู่กับสิ่งที่เราต้องการถ่ายทอด ผมไม่ได้พยายามทำในสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของศิลปินคนใดคนหนึ่ง หรือโรงงานใดโรงงานหนึ่ง จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง เพราะสุดท้ายสัญลักษณ์เหล่านั้น ก็คือตัวแทนช่วยบอกเล่าความรู้สึกของคนไทยทุกคนที่มีต่อพระองค์แบบไม่แตกต่างกัน”
ดาวเรือง 90 กลีบ จำนวน 9 ดอก บนกระถาง เก้าเหลี่ยม : สื่อสารผ่านสัญญะ
การถ่ายทอดความหมายผ่านสัญลักษณ์ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมการสื่อสารของมนุษย์ ภายใต้รูปทรงกระถางเซรามิกที่สะท้อนกลิ่นอายงานเครื่องปั้นดินเผาดั้งเดิมที่ใคร ๆ คุ้นเคย แต่สัญญะที่ซ่อนไว้กลับบ่งบอกถึงความทรงจำแห่งยุคสมัยปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
“ในส่วนของการออกแบบกระถางเก้าเหลี่ยม ผมมีต้นแบบมาจากเครื่องลายครามจีน เป็นลายพื้นฐานที่มีมาแต่โบราณ โดยครั้งนี้เราตั้งใจเพิ่มลายดอกดาวเรืองเข้าไปเนื่องจากเป็นดอกไม้ที่มีความร่วมสมัย มีความหมายดีสื่อถึงความเป็นนิรันดร์ทั้งในวัฒนธรรมไทยและเอเชียโบราณสื่อถึงความรักชั่วนิรันดร์ที่ในหลวงมีให้พสกนิกร และความรักที่พสกนิกรมีต่อพระองค์ท่าน เราสร้างแพตเทิร์นใหม่ตามลายก้านขดแบบโบราณ โดยเพิ่มสัญลักษณ์ที่สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างดอกดาวเรือง 90 กลีบจำนวน 9 ดอก และกระต่ายจำนวน 5 ตัวตามวันพระราชสมภพ”
“ส่วนบนของกระถางทรงกลมมีลวดลายของจีนโบราณเป็นคำว่า ‘ยู่อี่’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สิริมงคล ส่วนด้านล่างเราใช้ลาย ‘มะลิเลื้อย’ ซึ่งมีกลิ่นอายวัฒนธรรมพื้นถิ่นของลาย ‘ผ้าจกราชบุรี’ และ ‘ลายคลื่น’ ตามแบบลวดลายแบบจีนโบราณซึ่งหมายถึงที่อยู่ของมังกร สื่อถึงพระมหากษัตริย์ แต่จริง ๆ ตอนที่ออกแบบเรานึกถึงเรื่องราวของ‘พระมหาชนก’ มากกว่า เราอยากพูดถึงเรื่องของความเพียรพยายาม ในเมื่อความสำเร็จอยู่ข้างบน ข้างล่างจึงเป็นความเพียรพยายามที่เป็นพื้นฐานของความสำเร็จทั้งปวง เป็นความหมายที่เราอยากสร้างขึ้นมา ภายใต้การผสมผสานกันระหว่างความเก่ากับความใหม่“