เลือกสร้างสระว่ายน้ำแบบไหนคุ้มค่า?
บ้านและสวนตอบกระทู้สัปดาห์นี้ เรามีข้อสงสัยที่หลายคนยังข้องใจเกี่ยวกับเรื่องบ้านและเรื่องสวน ซึ่งคำถามยอดนิยมที่หยิบมาหาคำตอบ คือ เลือกสร้างสระว่ายน้ำแบบไหนคุ้มค่า?
จากคำถาม : อยากสร้างสระว่ายน้ำ ขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 7 เมตร สำหรับให้บริการ ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กค่ะ
- โครงสร้างมี 2 แบบ คือ แบบคอนกรีต กับ แบบไฟเบอร์กลาส
- ระบบสระว่ายน้ำก็มี 2 แบบอีก คือระบบ Skimmer และ ระบบ Over Flow ( ระบบน้ำล้น)
- ส่วนระบบบำบัดน้ำเสียมีแบบ ระบบเกลือกับระบบคลอรีน
ถ้าอยากได้แบบคงทนอย่างน้อย10ปีขึ้น ดูแลรักษาง่าย ไม่มีปัญหาจุกจิกและคุ้มค่าราคา ควรเลือกแบบไหนดี
คลายข้อสงสัย : ก่อนที่จะทำการสรุป มาลองดูกันก่อนว่าแต่ละแบบเป็นอย่างไรกันบ้าง ตามนี้เลยครับ
โครงสร้างสระว่ายน้ำ
เราสามารถแบ่งตามวิธีก่อสร้างได้เป็น 2 ประเภท คือ
สระว่ายน้ำคอนกรีต ใช้โครงสร้างพื้นและผนังสระเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมด ข้อดีของโครงสร้างชนิดนี้ คือ มีความแข็งแรงทนทาน และสามารถออกแบบรูปทรงได้หลากหลาย
สระว่ายน้ำสำเร็จรูป เป็นสระว่ายน้ำที่ผลิตจากวัสดุประเภทพอลิเมอร์สำเร็จมาจากโรงงาน แล้วนำมาติดตั้งบนโครงสร้างรองรับสระซึ่งเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กในพื้นที่ที่เราเตรียมไว้
สระว่ายน้ำสำเร็จรูปอีกชนิดหนึ่งคือ สระที่ทำจากโครงสร้างเหล็กหรือพลาสติกหล่อ(Fiberglass)คุณภาพดี แล้วปูผ้าไวนิลที่ผลิตขึ้นมาสำหรับสระว่ายน้ำโดยเฉพาะ โดยใช้แรงดันน้ำเป็นตัวบังคับให้ผ้าไวนิลติดแนบกับโครงสร้างพื้นและผนังที่เตรียมไว้ สำหรับสระว่ายน้ำสำเร็จรูปนั้นอาจมีข้อจำกัดเรื่องรูปทรงที่ไม่หลากหลายนัก เพราะผลิตตามแบบมาตรฐานของโรงงาน แต่จะมีราคาถูกและสร้างได้รวดเร็วกว่าสระว่ายน้ำโครงสร้างคอนกรีต อีกทั้งสระสำเร็จรูปที่ผลิตจากไวนิลจะต้องมีการเปลี่ยนผ้าไวนิลทุกๆ 10 ปี
ระบบสระว่ายน้ำ
ปัจจุบันระบบสระว่ายน้ำที่นิยมใช้กันมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆคือ ระบบSkimmer และ ระบบOver Flow (ระบบน้ำล้น)
ทั้ง 2 ระบบนี้มีการทำงานต่างกันตรงที่ระบบ Over Flow (ระบบน้ำล้น)จะนำน้ำไปบำบัด โดยการให้น้ำในสระล้นออกมายังรางน้ำล้นข้างสระ แล้วนำน้ำที่ล้นออกมาไปพักไว้ที่ถังพักน้ำ (Surge Tank) ก่อนจะปั๊มน้ำไปผ่านเครื่องกรองน้ำในห้องเครื่อง ทำให้ผิวสระว่ายน้ำที่ใช้ระบบนี้ดูตึงสวย เพราะอยู่ระดับเดียวกับพื้นรอบสระ แต่ก็จะสามารถมองเห็นรางน้ำล้นที่ดูคล้ายกับท่อระบายน้ำรอบสระด้วย
ในขณะที่ระบบ Skimmer นั้นจะนำน้ำไปบำบัด โดยผ่านช่องด้านข้างของผนังสระ ทำให้ผิวน้ำอยู่ในระดับต่ำกว่าพื้นรอบสระประมาณ 4-10 เซนติเมตร ระบบนี้ไม่ต้องมีถังพักน้ำ (Surge Tank) ทำให้เราประหยัดน้ำ และราคาค่าก่อสร้างของระบบ Skimmer ก็ถูกกว่าระบบ Over Flow นอกจากนี้ในปัจจุบันระบบ Skimmer ยังได้รับการพัฒนาให้สะดวกในการใช้งานมากขึ้น โดยมีรูปแบบเป็นเครื่องกรองสำเร็จรูป ไม่ต้องเดินท่อ เพียงแค่มีสระและติดเครื่องไว้ที่ขอบสระ ก็ทำงานได้เลย ซึ่งระบบนี้จะเหมาะกับสระที่มีขนาดเล็กหรือประมาณไม่เกิน 12 x 6 เมตร ราคาเครื่องอยู่ที่ประมาณ 2 แสนกว่าบาท ซึ่งหากสระมีขนาดเล็กมากก็อาจเพิ่มออปชั่นระบบว่ายทวนกระแสเข้าไปด้วยก็ได้ โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับระบบนี้เพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งแสนบาท
ระบบบำบัดน้ำ
ปัจจุบันระบบบำบัดน้ำในสระที่นิยมใช้มีอยู่ 3 ระบบ คือ
ระบบคลอรีน
เป็นระบบฆ่าเชื้อโรคที่มีราคาถูก และนิยมใช้กันมากที่สุด อยู่ในรูปของเหลว เม็ด และผงคลอรีน วิธีใช้คือค่อยๆละลายลงในสระว่ายน้ำ แต่จะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ เมื่อค่า pH ในน้ำอยู่ระหว่าง 7.2 – 7.8 หากค่า pH สูงหรือน้ำในสระมีค่าความเป็นด่างมากก็จะต้องเติมกรดลงไปก่อน และถ้าน้ำในสระมีค่า pH ต่ำหรือมีค่าความเป็นกรดสูง ก็จะต้องเติมสารที่เป็นด่างจำพวก Buffer หรือ Soda ash เพื่อปรับค่า pH ในน้ำก่อน ซึ่งสารคลอรีนนั้นอาจมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองกับผิวหนังได้ ดังนั้นการละลายคลอรีนจึงควรทำในช่วงเย็นหลังจากที่ใช้สระเสร็จแล้ว และจะต้องเปิดเครื่องกรองทิ้งไว้อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงด้วย
สำหรับสระว่ายน้ำขนาด 4 x 8 เมตร ค่าดูแลรักษาด้วยคลอรีนประมาณ 3,000 – 4,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้งานสระว่ายน้ำ และสภาพอากาศ)
ระบบน้ำเกลือ
เป็นระบบที่ฆ่าเชื้อโรคด้วยเกลือ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุภาพ ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนังอีกด้วย แต่มีราคาค่าติดตั้งค่อนข้างสูง และมีความเป็นด่างทำให้น้ำในสระมีรสกร่อยเล็กน้อย
สระว่ายน้ำขนาด 4 x 8 เมตร ราคาค่าติดตั้งระบบบำบัดน้ำเกลือประมาณ 40,000 – 50,000 บาท และเสียค่าดูแลรักษาหลังจากนั้นประมาณ 400 – 600 บาทต่อเดือน
ระบบโอโซน
เป็นระบบที่ฆ่าเชื้อโรคในน้ำ ด้วยการผลิตก๊าซโอโซนจากเครื่องอัดอากาศมาบำบัดน้ำในสระโดยตรง เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะไม่มีสารตกค้างในน้ำ แต่ระบบนี้จะมีระยะเวลาในการฆ่าเชื้อโรคสั้นกว่าระบบอื่น และมีราคาค่าติดตั้งสูง สระว่ายน้ำขนาด 4 x 8 เมตร ราคาค่าติดตั้งระบบบำบัดแบบโอโซนประมาณ 150,000 – 200,000 บาท
สรุปทั้ง 3 อย่าง
1. โครงสร้างสระว่ายน้ำ ทั้ง 2 แบบมีความทนทานที่อยู่ได้ถึง 10 ปี ส่วนเรื่องราคาสระว่ายน้ำสำเร็จรูปจะมีราคาถูกกว่า อีกทั้งการสร้างยังรวดเร็วกว่า แต่เรื่องการออกแบบอาจจะไม่เท่ากับโครงสรา้งคอนกรีตที่อิสระในการออกแบบมากกว่า
2. ระบบสระว่ายน้ำ แบบ Over Flow จะทำให้ภาพรวมสระว่ายน้ำดูสวย แต่ราคาค่าก่อสร้างจะแพงกว่า อีกทั้งแบบ Skimmer ยังประหยัดน้ำมากกว่า ซึ่งถ้าสระว่ายน้ำภายในบ้านก็ใช้แบบ Skimmer เพียงพอแล้ว
3. ระบบบำบัดน้ำ แบบคลอรีนเริ่มต้นจะมีราคาที่ถูกกว่า แต่ค่าดูแลรักษาหลังจากนั้นจะมากกว่า ส่วนระบบน้ำเกลือค่าติดตั้งช่วงแรกจะแพงกว่า แต่ค่าดูแลรักษาหลังจากนั้นจะถูกกว่าแบบคลอรีน ซึ่งถ้าคิดเรื่องสุขภาพ ระบบน้ำเกลือจะดีต่อสุขภาพผิวมากกว่าระบบคลอรีน