สีเกรดธรรมดา VS สีเกรดอัลตร้าพรีเมียม แบบไหนคุ้มค่ามากกว่า
เคยไหม? ที่คิดจะเลือกซื้อสิ่งของอะไรสักอย่างในร้านค้า แต่เมื่อเห็นสินค้าราคาถูกกว่ากลับเลือกซื้อชิ้นนั้นแทน แต่เมื่อกลับมาเปรียบเทียบคุณภาพแล้วกลับพบว่าไม่ได้ตรงตามที่ต้องการนัก เหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ เพียงเพราะโปรโมชั่นเรื่องราคาก็สามารถจูงใจให้เราไขว้เขวได้ แต่อย่าให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับการเลือกสีทาบ้าน เพราะการเลือก “สีทาบ้านที่ดี” นั้นมีปัจจัยหลายอย่างที่สำคัญมากกว่าเรื่องราคา นั่นคือคุณภาพและความคุ้มค่าในระยะยาว
สีทาภายนอกที่ทนทานต่อสภาวะอากาศรุนแรง กันแดดกันฝน ฟิล์มสีเนียนสวยทาง่าย อาจจะเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นในการเลือกซื้อสี ในขณะที่สีทาภายในที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดสารพิษอันตราย ในเฉดสีที่สวยงาม ก็เป็นปัจจัยสำคัญในยุคนี้เช่นกัน เห็นทีว่าการซื้อสีทาบ้านทั้งภายในและภายนอกให้เกิด “ความคุ้มค่า” จะไม่ได้หมายถึงราคาที่ถูกกว่าเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาคุณภาพที่มีระยะเวลาเป็นหน่วยคัดกรองด้วย
สีแบบไหนที่คุ้มค่า ระหว่างเกรดธรรมดาในราคาย่อมเยากับ สีเกรดอัลตร้าพรีเมียม ที่อัดแน่นด้วยคุณสมบัติมากมายนั้น แบบไหนจำเป็นต่อผนังบ้าน หรือใช้แค่สีเกรดธรรมดาทาแล้วสวยก็เพียงพอ ลองไปหาคำตอบแบบชัดๆ กับข้อเปรียบเทียบคุณสมบัติของสีทั้ง 2 ระดับกัน
ราคาและปริมาณสีต่อตารางเมตร
จ่ายน้อย = คุ้มค่า อาจจะไม่จริงเสียทีเดียวหากเป็นการทาสีบ้าน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการเลือกประหยัดงบด้วยการเลือกเลือกสีเกรดธรรมดาที่ราคาถูกกว่าสีเกรดพรีเมียม เมื่อเปรียบเทียบในระยะยาวแล้วกลับต้องจ่ายมากกว่าเพราะคุณภาพของสีทาบ้านมักสัมพันธ์กับราคาด้วย สีเกรดธรรมดาที่มีราคาย่อมเยา อายุการใช้งานก็สั้นไปด้วย เฉลี่ยอยู่ที่ 5 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นต้องทาสีใหม่อีกครั้งเพื่อให้บ้านสวยสดใส ต่างจากสีเกรดอัลตร้าพรีเมียม ที่อัดแน่นด้วยคุณสมบัติพิเศษซึ่งผ่านการคิดค้นเพื่อผนังบ้านที่สวยทนนาน มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 15 ปี ซึ่งยาวนานกว่าสีเกรดธรรมดา เมื่อเปรียบเทียบในระยะเวลาที่เท่ากันคือ 15 ปี จะต้องทาสีเกรดธรรมดาถึง 2-3 ครั้ง แต่ทาสีเกรดอัลตร้าพรีเมียมเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น
ทั้งนี้เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ คือ เมื่อคำนวณราคาสีทาบ้านสำหรับพื้นที่ 300 ตารางเมตร หากใช้สีเกรดกลางจะมีค่าใช้จ่ายรวมค่าแรงช่างอยู่ที่ 30,484 บาท เฉลี่ยอยู่ที่ตารางเมตรละ 35 บาท แต่เมื่อทาสีซ้ำหลังจากสีเสื่อมสภาพจะมีค่าใช้จ่ายอีก 37,967 บาท รวมทั้ง 2 รอบจะต้องจ่ายมากถึง 68,451 บาท แต่สีเกรดอัลตร้าพรีเมียมจะมีค่าใช้จ่ายครั้งแรกอยู่ที่ 36,986 บาท เฉลี่ยตารางเมตรละ 58 บาท แต่ผนังบ้านสวยทนนานถึง 15 ปี สรุปได้ว่าในระยะเวลา 15 ปีเท่ากันสีเกรดอัลตร้าพรีเมียมจะประหยัดกว่าสีเกรดสีเกรดธรรมดาถึง 46% เลยทีเดียว
คุณสมบัติที่บอกถึงคุณภาพ
ความคุ้มค่าอีกอย่างหนึ่งของสีเกรดอัลตร้าพรีเมียม คือคุณสมบัติที่มีประโยชน์ในแง่ต่างๆ ทั้งความทนทานต่อสภาพอากาศอากาศรุนแรง ไม่ว่าจะเป็น แดด ลม พายุฝน พื้นที่ที่เต็มไปด้วยมลภาวะทางอากาศ หรือแม้แต่บริเวณที่มีการกัดกร่อนจากความเค็มของไอทะเล ที่อาจจะทำลายสีของผนังให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น สีช่วยสะท้อนความร้อน ทนต่อรังสี UV ทำความสะอาดง่าย สามารถปกปิดรอยแตกลายงา ปกป้องผนังจากความชื้น ป้องกันคราบตะไคร่ เชื้อรา ซึ่งคุณสมบัติที่เกิดจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ เหล่านี้หาไม่ได้ในสีเกรดธรรมดา จึงทำให้คุณภาพด้อยกว่า หลุดล่อนเร็วกว่า ทำให้อายุการใช้งานที่สั้นกว่าด้วย
สีแต่ละเกรดอายุการใช้งานต่างกัน
นอกจากคุณภาพของฟิล์มสีที่สามารถปกป้องบ้านได้มากกว่าแล้วนั้น อายุการใช้งานของสีแต่ละเกรดก็แตกต่างกันด้วยคือ สีเกรดธรรมดา ที่มีอายุใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 ปี สีเกรดพรีเมียม จะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-7 ปี และสีเกรดอัลตร้าพรีเมียม มีอายุการใช้งานถึง 15 ปี ซึ่งมากกว่าสีเกรดธรรมดาถึง 3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบระยะเวลา คุณภาพที่ได้ กับราคาที่จ่ายไปนั้น การเลือกใช้สีเกรดอัลตร้าพรีเมียมจึงคุ้มค่าในระยะยาวมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ค่าใช้จ่ายแฝง และลดค่าใช้จ่ายหลัก
นอกจากราคาค่าสีทาบ้านที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้งแล้ว ค่าแรงช่างก็เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่บวกมาพร้อมกันเสมอ ยิ่งหากต้องทาสีหลายครั้งนั้นคือใช้งบประมาณที่มากขึ้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่บางครั้งอาจจะลืมคิดคำนวณไป เช่น ค่าเดินทางในการออกไปเลือกซื้อสี ค่าอุปกรณ์ทาสีอื่นๆ ค่าซ่อมแซมผนังคอนกรีตที่เสื่อมสภาพ ค่าขนย้ายของ เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงค่าแรงช่างที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี การทาสีบ้านหนึ่งครั้งจึงควรมีอายุการใช้งานได้ดีในระยะยาว คุณสมบัติสีที่มีคุณภาพ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายแฝงเหล่านี้ได้เช่นกัน อย่างฟิล์มสีที่ความยืดหยุ่นช่วยแก้ปัญหารอยแตกลายงาให้ผนังคอนกรีต ลดการซ่อมแซมจุกจิกที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ด้วย
ในขณะเดียวกัน คุณสมบัติของสีเกรดอัลตร้าพรีเมียม ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในบ้านได้มากกว่าที่คิด อย่างช่วยลดการใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วยคุณสมบัติสะท้อนความร้อน ช่วยให้บ้านเย็นลง ลดการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นผลดีในระยะยาวทั้งต่อตัวบ้านและโลกด้วย
มีอะไรอยู่ในสีเกรดอัลตร้าพรีเมียม
นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ (Nippon Paint Weatherbond) สีทาภายนอก เกรดอัลตร้าพรีเมียม ที่มาพร้อมคุณสมบัติที่ทนต่อสภาพอากาศรุนแรง โดยเฉพาะอากาศในประเทศไทย ช่วยปกป้องบ้านยาวนานถึง 15 ปี ด้วยเทคโนโลยี Special Cross Link จากประเทศญี่ปุ่น เสริมสร้างความแข็งแกร่งของชั้นฟิล์มสี ตั้งแต่ผิวภายนอกจนถึงโครงสร้างภายใน ทนทานต่อการเกิดคราบด่างและคราบเกลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ* ป้องกันสีซีดจางจากความชื้นภายในผนังได้ดีเยี่ยม ทนต่อรังสี UV และ Infrared ด้วย Solareflect Technology ช่วยสะท้อนรังสีแสงอาทิตย์ ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน ทำให้บ้านเย็นลงช่วยประหยัดค่าไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศได้ด้วย ทั้งช่วยป้องกันคราบสกปรกฝังแน่น ทนต่อมลภาวะทางอากาศ ฝุ่น หรือคราบเขม่าควันได้ดี และด้วยเทคโนโลยี Dry Lock Technology สามารถปกปิดรอยแตกลายงา ช่วยป้องกันความชื้นและน้ำฝนซึมผ่านเข้าสู่ผนังได้ ทั้งนี้สีทาภายนอก Nippon Paint Weatherbond ยังปราศจากสารตะกั่วและปรอท มีกลิ่นอ่อน (Low VOCs) ปลอดภัยต่อครอบครัวและสิ่งแวดล้อมด้วย
จากข้อเปรียบเทียบทั้งหมดจะเห็นได้ชัดว่า สีเกรดอัลตร้าพรีเมียม แม้จะมีราคาจำหน่ายที่สูงกว่าสีเกรดธรรมดาในปริมาณสีเท่ากัน แต่เมื่อเทียบกับคุณสมบัติที่ได้ ความคงทน ประโยชน์ในด้านต่างๆ และเทียบค่าใช้จ่ายในระยะยาวแล้วถือว่าคุ้มค่ากว่าสีเกรดธรรมดามากอย่างเห็นได้ชัด
*เพื่อประสิทธิภาพที่ดีควรใช้คู่กับ สีรองพื้นสำหรับปูนใหม่ นิปปอนเพนต์ 5100 วอล ซีลเลอร์ (Nippon Paint 5100 Wall Sealer) หรือสีรองพื้น สำหรับปูนเก่า นิปปอนเพนต์ เฟล็กซี่ซีล (Nippon Paint Flexiseal)
ระบบสีทาภายนอก นิปปอนเพนต์
สีรองพื้น สำหรับปูนใหม่ นิปปอนเพนต์ 5100 วอล ซีลเลอร์ (Nippon Paint 5100 Wall Sealer)
สีรองพื้น สำหรับปูนเก่า นิปปอนเพนต์ เฟล็กซี่ซีล (Nippon Paint Flexiseal)
สีทับหน้า นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ (Nippon Paint Weatherbond)