ถังดับเพลิง เลือกอย่างไรดี!
ปัจจุบันเราก็มีผลิตภัณฑ์ป้องกันภัยต่างๆให้เลือกมากมาย เช่น เครื่องตัดกระแสไฟรั่วอัตโนมัติ เครื่องตรวจจับควัน เป็นต้น แต่วันนี้ขอกล่าวถึง ถังดับเพลิง ที่ควรมีติดบ้านไว้ ดังสำนวนที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้.. แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน” เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเกิดพลิงไหม้เล็กๆ เราสามารถใช้งานได้ทันที โดยมีหลายประเภทให้เลือกตามเชื้อเพลิงที่ต้องการดับ อาทิ กระดาษ ไม้ ผ้า น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้าลัดวงจร ดังนั้นเราจึงควรเลือกมาใช้ให้เหมาะสมกับงานและเพื่อความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ต้องจ่ายไป
รู้จัก ถังดับเพลิง
ถังดับเพลิง เป็นอุปกรณ์ดับเพลิงแบบเคลื่อนที่ ประกอบด้วยถังแรงดัน ซึ่งบรรจุน้ำหรือสารเคมีดับไฟอื่นๆ พร้อมมือจับ ไกเปิด/ปิด สลักนิรภัย และสายฉีด ออกแบบไว้สำหรับการดับเพลิงไหม้เล็กน้อย เพื่อไม่ให้บานปลาย ทั้งนี้ประสิทธิภาพการดับไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับชนิดของสารดับเพลิงซึ่งบรรจุอยู่ในถัง อาทิ ผงเคมีแห้ง, คาร์บอนไดออกไซค์ ,โฟม หรือเคมีสูตรน้ำ ดังนั้นก่อนเลือกถังดับเพลิงมาใช้งาน ให้เราดูที่ฉลากข้างตัวถัง ซึ่งจะระบุประเภท A,B,C,D หรือ K ซึ่งหมายถึงถังชนิดนั้น มีความสามารถในการดับไฟอะไรได้บ้าง เช่น
ประเภท A เพลิงไหม้ที่เกิดจากเชื้อเพลิงของแข็ง เช่น ไม้ ผ้า กระดาษ ยาง พลาสติก เป็นต้น
ประเภท B เพลิงไหม้ในของเหลวติดไฟและก๊าซติดไฟ เช่น น้ำมัน ทินเนอร์ ก๊าซหุงต้ม จาระบี
ประเภท C เพลิงไหม้ที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้าและมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร
ประเภท D เพลิงไหม้ที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของโลหะ
ประเภท K เพลิงไหม้ที่เกิดจากน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารและไขมันสัตว์
ประเภทของ ไฟถังดับเพลิง
1.ถังชนิดผงเคมีแห้ง ส่วนใหญ่เป็นสีแดง สามารถดับไฟได้เกือบทุกประเภท A,B,C ยกเว้น K มีราคาไม่แพง หาซื้อง่าย แต่ก็มีข้อด้อยคือเมื่อฉีดออกมาจะฟุ้งกระจาย ทิ้งคราบเปื้อนเหมือนผงแป้งสีขาว และเมื่อฉีดแล้วจะหมดหรือไม่หมด แรงดันจะตก ไม่สามารถใช้งานได้อีก ต้องส่งบรรจุใหม่ อายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี
2.ถังชนิดผงเคมีสูตรน้ำ (Halotron) สีเขียวๆ เมื่อฉีดแล้วจะระเหยไปเอง ไม่ทิ้งคราบสกปรก สามารถดับไฟได้ทุกประเภท A,B,C มีราคาสูง เหมาะกับการใช้งานในห้องที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ
3.ถังชนิดที่บรรจุสารฮาโลตรอน หรือน้ำยาที่มีชื่อว่า “ABFFC” ที่ใช้สำหรับการดับไฟได้ดี ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า สามารถดับไฟได้ทุกประเภท A,B,C หรือ K ราคาจะสูงกว่าถังชนิดผงเคมีแห้ง เหมาะกับใช้งานในบ้าน เพราะสามารถดับไฟที่เกิดจากน้ำมันทอดในครัวเรือนได้ และหากมีการใช้งานแล้ว แต่ยังไม่หมด สามารถใช้งานต่อจนหมดได้ ตัวถังมีหลายสี ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตและจัดจำหน่าย เช่น สีฟ้า สแตนเลส หรือสีเขียว
4.ถังชนิดบรรจุก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ มีสีแดง ปลายกระบอกฉีดจะใหญ่เป็นพิเศษ เมื่อฉีดออกมาจัมีไอเย็นจัด คล้ายน้ำแข็งแห้ง ช่วยลดความร้อนของไฟไหม้ได้ ไม่ทิ้งคราบสปรก สามารถดับไฟปรเภท B ,C ได้ เหมาะกับห้องที่มีเครื่องจักรกลต่างๆ
5.ถังชนิดบรรจุโฟม เมื่อฉีดออกมาจะเป็นฟองโฟมคลุมผิวเชื้อเพลิงที่ลุกไหม้ จึงสามารถดับไฟประเภท A,B แต่ไม่สามารถดับไฟประเภท C ได้ เพราะเป็นสื่อนำไฟฟ้า เหมาะสำหรับภาคอุตสาหกรรม ใช้ดับเชื้อเพลิงพวกทินเนอร์ และสารละเหยติดไฟ
วิธีการใช้ถังดับเพลิง
1. เข้าไปทางเหนือลมโดยห่างจากฐานของไฟประมาณ 2 – 3 เมตร
2. ดึงสลักหรือลวดที่รั้งวาล์วออก
3. ยกหัวฉีดปากกลวยชี้ไปที่ฐานของไฟ ( ทำมุมประมาณ 45 องศา )
4. บีบไกเพื่อเปิดวาล์วให้ก๊าซพุ่งออกมา
5. ให้ฉีดไปตามทางยาว และกราดหัวฉีดไปช้า ๆ
6. ดับให้สนิทจนแน่ใจแล้ว จึงฉีดต่อไปข้างหน้า
การติดตั้งและดูแลรักษาถังดับเพลิง
1. ให้พิจารณาดูว่าพื้นที่ส่วนใดของบ้าน มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้จากเชื้อเพลิงชนิดใด เราก็จัดวางถังดับเพลิงให้ถูกต้องตามประเภทของไฟที่เกิดขึ้น เช่น ไม้ กระดาษ น้ำมัน หรือไฟฟ้า ถ้าไม่มีพื้นที่วางถังดับเพลิงให้ยึดติดกับผนัง โดยให้สูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 1 เมตร แต่ไม่ควรเกิน 1.50 เมตร เพราะจะหยิบมาใช้งานได้ไม่สะดวก
2. มีป้ายหรือสัญลักษณ์บอกประเภทของถังดับเพลิงที่ชัดเจน รวมถึงวิธีการใช้งาน ณ จุดติดตั้ง
3. การตรวจสอบสภาพของถังดับเพลิง อาจทำเป็นป้ายกำกับแขวนไว้ที่ตัวถังเพื่อให้รู้ว่ามีการตรวจสอบครั้งล่าสุดเมื่อใด วิธีการตรวจสอบว่าถังดับเพลิงยังอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ให้ดูที่เข็มในมาตรวัด (Pressure Gauge) ของถังดับเพลิง ถ้าถังดับเพลิงอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เข็มจะชี้ที่ช่องสีเขียว แต่ถ้าเข็มเอียงมาทางซ้ายแสดงว่าแรงดันไม่มี ต้องรีบนำไปเติมแรงดันใหม่ ทั้งนี้เราควรหมั่นตรวจสอบเป็นประจำทุกเดือน
4.สำหรับอายุการใช้งาน ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง (ถังสีแดง) มีอายุประมาณ 5 ปี ส่วนชนิดฮาโลตรอนวัน (ถังสีเขียว) และชนิดก๊าซ CO2 ,มีอายุประมาณ 10 ปี และถึงแม้จะไม่มีการใช้งาน เราก็ต้องส่งไปตรวจสอบและบรรจุใหม่
สำหรับบ้านหรือที่พักอาศัยทั่วไปอย่างทาวน์เฮ้าส์หรือทาวน์โฮม แม้กฎหมายจะไม่บังคับ แต่ขอแนะนำให้มีติดบ้านไว้อย่างน้อยชั้นละ 1 ถัง เพื่อความอุ่นใจ หากเกิดอัคคีภัย จะได้แก้ไขได้ทันที อาจเลือใช้ ถังดับเพลิงแบบผงเคมีแห้ง ที่มีสีแดงเพราะสามารถดับไฟได้ทั้งประเภท A,B,C และมีราคาไม่แพง แต่สำหรับสถานที่ที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพง เราก็ควรเลือกใช้ถังดับเพลิงประเภทก๊าซ ที่มีสีเขียว เพราะจะไม่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เสียหาย เมื่อเทียบกับถังดับเพลิงแบบผงเคมีแห้ง ที่จะทิ้งคราบฝุ่นหรือผงแป้งสีขาวไว้หลังการใช้งานนั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม : 5 เหตุผลดีๆที่ควร ทำประกันภัยให้บ้าน ของเรา
เป็นเพื่อนกันเราได้ใน Line@ : https://line.me/R/ti/p/%40slo7204x