ลดความร้อนให้บ้านด้วยวิธีธรรมชาติ
ก่อนจะเข้าหน้าร้อนแบบเต็มตัว มารู้จักวิธีลดความร้อนเข้าบ้านด้วยวิธีธรรมชาติกัน โดย ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน Research & Innovation for Sustainability Center (RISC) ได้ศึกษาวิธีการปรับบ้านให้เย็นสบาย แก้บ้านร้อน อย่างเข้าใจสภาพภูมิอากาศ
เพื่อให้เข้าใจที่มาของปัญหาการเกิดความร้อนจนอยู่ในบ้านแล้วรู้สึกไม่สบาย มีวิธี แก้บ้านร้อน โดยนำเสนอ 3 แนวทางปรับให้บ้านเย็นลง และมีการเปรียบเทียบผลกระทบของการทำพื้นที่ดาดแข็งและพื้นที่สีเขียว ทำให้เห็นว่ามีผลกับอุณหภูมิรอบบ้านอย่างไร แต่ก่อนอื่นมาเข้าใจสภาพภูมิอากาศของบ้านเรากัน
ประเทศไทยมีอุณหภูมิอากาศร้อนชื้นเกือบตลอดทั้งปี และไม่อยู่ในช่วง “สภาวะน่าสบาย”
ประเทศไทยมีอุณหภูมิอากาศตอนกลางวันอยู่ระหว่าง 30-35 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ 50-70%RH อุณหภูมิอากาศตอนกลางคืนอยู่ประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส ความชื้นในอากาศ 70-90%RH แต่โดยทั่วไปคนเราจะรู้สึกสบาย หรือที่เรียกว่า “สภาวะน่าสบาย” เมื่ออุณหภูมิอากาศอยู่ที่ 22-27 องศาเซลเซียส ความชื้นในอากาศ 20-75%RH ซึ่งสภาพอากาศบ้านเราไม่อยู่ในช่วงดังกล่าว ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่หากสามารถปรับสภาพแวดล้อมรอบบ้านด้วยร่มเงา ต้นไม้ และละอองน้ำ ก็จะช่วยให้อุณหภูมิรอบบ้านลดลงได้ และหากอยู่ในทิศที่ลมพัดผ่านเข้าบ้าน ก็จะพัดพาอากาศที่เย็นลงนั้นเข้าบ้าน ช่วยให้รู้สึกเย็นลงได้
ลมประจำถิ่น พัดมาทางทิศไหน
ความจริงแล้วลมจะมาจากทุกทิศทาง แต่จะมีทิศทางที่ลมพัดประจำอยู่ 2 ช่วงของปี คือ
- ลมประจำพัดมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศใต้ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – กันยายน
- ลมประจำพัดมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศเหนือ ช่วงเดือนตุลาคม – มกราคม
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศที่บ้านเราไปตั้งอยู่ด้วย เช่น ติดภูเขา แม่น้ำ หรืออาคารสูง ซึ่งจะทำให้ทิศทางของลมเปลี่ยนไปตามการกระทบและไหลของลม โดยช่วงเวลาที่เราต้องการลมเพื่อการสร้างความรู้สึกสบายจะเป็นช่วงฤดูร้อน หรือช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ซึ่งมีทิศลมประจำอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศใต้ ดังนั้นช่องเปิดของบ้านควรหันมาทางทิศนี้ แต่ลมที่พัดมาจะมีอุณหภูมิสูง จึงควรมีการปรับสภาพแวดล้อมรอบบ้านเพื่อช่วยลดอุณหภูมิลง ด้วยการสร้างร่มเงา ปลูกหญ้า ต้นไม้ และมีการระเหยของน้ำ เพื่อให้ลมพัดพาอุณหภูมิที่เย็นลงแล้ว เข้ามาสร้างความสบายภายในบ้าน
แสงแดดมาพร้อมความร้อน…จากทางทิศไหน
การขึ้น-ลงของดวงอาทิตย์มีผลต่อความร้อนโดยตรง แสงแดดตอนเช้าเริ่มจากทางทิศตะวันออก อ้อมเอียงไปทางทิศใต้ (หรือเหนือ) และเอียงต่ำทางทิศตะวันตกในตอนเย็น
- แดดเอียงอ้อมไปทางทิศเหนือ ช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม (4 เดือน)
- แดดเอียงอ้อมไปทางทิศใต้ ช่วงเดือนมกราคม – เมษายน และเดือนกันยายน – ธันวาคม (8 เดือน)
การเอียงทำมุมกับอาคารนี้เองที่มีผลต่อการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน หากเราเข้าใจจะสามารถหันทิศทางอาคารในทิศที่โดนแดดน้อยได้ หรือการบังแดดในทิศที่ได้รับแสงแดดโดยตรง โดยช่วงบ่ายที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดของวัน ประกอบกับทิศทางการเอียงของแสงแดด ทำให้ทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศตะวันตกจะได้รับแสงแดดเฉลี่ยมากที่สุดตลอดทั้งปี ดังนั้นอาคารต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงการทำผนังที่โดนแสงแดดโดยตรงในทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศตะวันตก เพื่อลดการสะสมความร้อน
บ้านร้อนได้อย่างไร และความร้อนมาจากไหน?
ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในอาคารจนทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัวนั้น ส่วนหนึ่งมาจากอุณหภูมิและความชื้นในอากาศของประเทศไทยที่แทบจะไม่อยู่ในช่วง “สภาวะน่าสบาย” เลย และความร้อนจะเพิ่มมากขึ้นจากการสะสมความร้อนของวัสดุพื้น ผนัง หลังคา และกระจก ซึ่งเป็นส่วนเปลือกบ้านที่ช่วยบังแดดบังฝน และถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ภายในบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านร้อนกว่าอากาศในช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักเกินจำเป็น เพราะความเย็นในการปรับอากาศส่วนหนึ่งใช้ในการลดอุณหภูมิของเนื้อวัสดุ อีกส่วนหนึ่งใช้ชดเชยความรู้สึกร้อนจากการแผ่รังสีความร้อนของวัสดุเปลือกอาคารโดยรอบเข้ามาภายในบ้าน ทำให้ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศลงเท่าไรก็ยังไม่รู้สึกเย็น
3 แนวทางปรับให้บ้านเย็นลง
เมื่อเข้าใจต้นเหตุที่ทำให้บ้านร้อนแล้ว มาดู 3 แนวทางหลัก แก้บ้านร้อน เพื่อปรับให้บ้านเย็นลงกัน
1.สภาพแวดล้อมรอบตัวอาคาร
การปรับปรุงให้รอบบ้านของเรามีอุณหภูมิที่เย็นลง ด้วยการลดการสะสมความร้อนของพื้นโดยรอบบ้านไม่ให้มีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิอากาศ และพยายามทำให้อุณหภูมิเย็นลงด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยการเลือกทำพื้นลานคอนกรีตน้อยที่สุด เพื่อลดการดูดซับและสะสมความร้อนจากแสงแดด หลีกเลี่ยงการจัดวางพื้นที่ดาดแข็งที่มีขนาดใหญ่บริเวณทิศใต้และทิศตะวันตกซึ่งเป็นทิศที่ได้รับอิทธิพลจากแสงอาทิตย์สูงสุด และมีพื้นที่ปลูกหญ้าและปลูกต้นไม้ใหญ่สร้างร่มเงาให้มากที่สุด มีการระเหยของน้ำด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อลดอุณหภูมิอากาศโดยรอบอาคาร เช่น น้ำพุ น้ำตก แหล่งน้ำ เพื่อทำให้ลมที่พัดผ่านสภาพแวดล้อมรอบอาคารเข้ามาภายในอาคารกลายเป็นลมเย็น
2.การวางแนวอาคารและรูปทรงอาคาร
การทำให้บ้านมีร่มเงาบังแดดมากที่สุด ด้วยการออกแบบรูปทรงบ้านและพื้นที่ผิวผนัง หลังคา กระจก ให้สัมผัสกับแสงแดดน้อยที่สุด การหันแนวบ้านให้เอียงหลบแดด เช่น การออกแบบให้ผนังด้านทิศตะวันตกและตะวันออกมีพื้นที่น้อยที่สุด โดยเฉพาะทิศตะวันตกซึ่งเป็นด้านที่ได้รับอิทธิพลจากแสงแดดสูงสุด และเน้นการออกแบบให้มีพื้นที่ผนังและเปิดหน้าต่างในทิศเหนือและทิศใต้ให้มากที่สุด เพราะทิศเหนือได้รับอิทธิพลแดดน้อยที่สุด ส่วนทิศใต้เป็นทิศลมประจำ จะช่วยให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อลมพัดผ่านสภาพแวดล้อมที่ปรับให้มีอุณหภูมิเย็นลงแล้ว
3.การออกแบบและเลือกวัสดุเปลือกอาคาร
เปลือกอาคาร ได้แก่ ผนัง หลังคา และกระจก เป็นส่วนสำคัญในการทำให้บ้านร้อนหรือเย็น การเลือกวัสดุที่ดีต้องเป็นวัสดุที่ไม่มีการดูดซับความร้อนและความชื้น มีคุณสมบัติการป้องกันความร้อนได้เป็นอย่างดี จึงจะสามารถลดการสะสมความร้อนในเนื้อวัสดุ ลดการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคารได้ และลดการควบแน่นเป็นหยดน้ำซึ่งเป็นสาเหตุของเชื้อราอีกด้วย เพื่อความสบายและสุขภาพที่ดีของคนในบ้าน
การเปรียบเทียบความร้อน-เย็น ของ พื้นที่ดาดแข็ง – พื้นที่สีเขียว
หากพื้นรอบบ้านเป็น “พื้นที่ดาดแข็ง” เช่น พื้นคอนกรีต พื้นลาดยาง พื้นอิฐ พื้นหิน หรือพื้นไม้ ในปริมาณมาก คุณสมบัติของวัสดุนั้นๆ จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิโดยรอบเพิ่มสูงขึ้น แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องจ้าเข้ามาก็จะแยงตาโดยตรง และเสียงสะท้อนจากกิจกรรมต่างๆก็จะตรงสู่อาคารมากเป็นพิเศษ โดยพื้นที่ดาดแข็งจะมีการสะท้อนความร้อน ดูดกลืนความร้อนเก็บไว้ และ แผ่ความร้อนออกมา จนพื้นที่นั้นกลายเป็นแหล่งสะสมความร้อน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับบริเวณที่เป็นพื้นสีเขียวจะพบว่ามีอุณหภูมิสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยตัวเลขการเปรียบเทียบอุณหภูมิพื้นผิวของพื้นคอนกรีต บล็อกคอนกรีตปูหญ้า บล็อกพลาสติกปูหญ้า และสนามหญ้า จะมากถึง 42, 36, 30 และ 27 องศาเซลเซียสตามลำดับ
อีกทั้งพื้นที่ดาดแข็งมีสะท้อนแสงมาก ทำให้มีแสงจ้าและแยงตา เมื่อเทียบกับพื้นคอนกรีต บล็อกคอนกรีตปูหญ้า บล็อกพลาสติกปูหญ้า และสนามหญ้า จะสามารถลดการสะท้อนแสงได้ร้อยละ 31 , 62 และ 77 ตามลำดับ
พื้นที่ดาดแข็งยังมีผลกระทบต่อสภาวะน่าสบายทางเสียง เพราะเป็นวัสดุที่มีลักษณะทึบตัน มีค่าการดูดซับเสียงต่ำ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการออกแบบทางเดินเท้าเป็นรูปแบบโค้งอิสระ เพื่อช่วยเพิ่มจำนวนการตกกระทบและสะท้อนเสียงก่อนเข้าสู่อาคาร หรือการแทรกพืชพรรณต่างๆ เพื่อช่วยดูดซับเสียง และลดความต่อเนื่องของเสียงสะท้อนก่อนเข้าสู่อาคาร
โดยหลักเกณฑ์มาตรฐานการประเมินอาคารประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานได้แนะนำว่า
บ้านเดี่ยว
- ควรมีพื้นที่เปิดโล่งมากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่ดิน
- ควรมีพื้นที่พืชพรรณไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของพื้นที่เปิดโล่งทั้งหมด
- ควรมีพื้นผิวที่น้ำซึมผ่านได้ ร้อยละ 75 ขึ้นไปของพื้นที่ดาดแข็ง
บ้านแถวและอาคารอยู่อาศัยรวม
- ควรมีพื้นที่เปิดโล่งมากกว่าร้อยละ 25 ของพื้นที่ดิน
- ควรมีพื้นที่พืชพรรณไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่เปิดโล่งทั้งหมด
- ควรมีพื้นที่ร้อยละ 75 ขึ้นไปของพื้นที่ดาดแข็ง เป็นพื้นผิวที่น้ำซึมผ่านได้
เมื่อพื้นที่ดาดแข็งเป็นสาเหตุที่สร้างความรู้สึกไม่สบาย การลดปริมาณพื้นที่ดาดแข็งให้เหลือน้อยที่สุด หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมด้วยการแทรกพื้นที่สีเขียวจากการปลูกต้นไม้ใหญ่ มีสนามหญ้า ใช้บล็อกปูหญ้า หรือการเติมต้นไม้กระถาง ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความรู้สึกสบายให้กับบริเวณโดยรอบและภายในบ้านได้
รู้จักศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ RISC (Research & Innovation for Sustainability Center) เป็นศูนย์ค้นคว้าและพัฒนาที่เน้นนวัตกรรมด้านคุณภาพชีวิตแห่งแรกของเอเชีย ประกอบด้วยเครือข่ายนักวิจัย นวัตกร ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งผู้ผลิต เพื่อให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลายที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตในโลก (For All Well-being) รวมไปถึงการฟื้นฟูและรักษาสภาพแวดล้อมให้อยู่ในสมดุล เอื้อต่อการใช้ชีวิตของทุกสรรพสิ่งได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพ และยั่งยืน
ติดตาม FB : riscwellbeing
เรื่อง : ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
เรียบเรียง : ศรายุทธ ศรีทิพย์อาสน์
ภาพ : แฟ้มภาพบ้านและสวน, room
ภาพประกอบ : เอกรินทร์ พันธุนิล