เทคนิคปลูก ราสป์เบอร์รี่ (Raspberry) ให้ติดดอกออกผล

ราสป์เบอร์รี่ (Raspberry) ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ สีสวย มีทั้งสีแดง ชมพู เหลือง ส้ม และม่วง สามารถปลูกและให้ผลผลิตได้ดีในเมืองไทย แต่จะปลูกและดูแลอย่างไร ให้ติดดอกออกผล ดังใจ มาเรียนรู้เทคนิคปลูกกัน

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็นราสป์เบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่หรือหม่อน กลายเป็นผลไม้ที่เข้ามาครองใจผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยในยุคนี้ โดยเฉพาะราสป์เบอร์รี่ที่ได้ชื่อว่าเป็น Superfood ซึ่งอุดมด้วยสารอาหาร วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงร่างกายและป้องกันโรค ทั้งยังสามารถปลูกและให้ผลผลิตได้ดีในหลายพื้นที่ของประเทศไทย

ราสป์เบอร์รี่ (Raspberry)
      ไม้ผลขนาดเล็กในวงศ์กุหลาบ (Rosaceae) ทั้งพันธุ์ป่าและพันธุ์ปลูก รวมมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ลักษณะเป็นไม้ล้มลุก ระบบรากมีอายุหลายปี ขณะที่ลำต้นและกิ่งมีอายุสองปี แตกกิ่งก้านทอดเลื้อย มีหนามหรือไร้หนาม ลำต้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • กิ่งปีแรกหรือกิ่งอายุปีที่หนึ่ง (Primocane) เป็นกิ่งที่เกิดมาจากตาที่ราก เจริญเติบโตเร็วมาก กิ่งใหม่มีหนามเล็ก ๆ มากมาย โดยสีของหนามหรือขนสามารถนำมาใช้แยกกลุ่มของสายพันธุ์ต่าง ๆ ได้ ลำต้นประเภทนี้สามารถออกดอกติดผลได้โดยไม่ต้องได้รับความหนาวเย็น
  • กิ่งปีที่สอง (Floricane) คือกิ่งอายุปีเดียวที่มีการพักตัวและเริ่มเจริญเติบโตจนพร้อมผลิตดอก ตาข้างที่พัฒนาเป็นช่อดอกชุดแรกจะเริ่มยาวขึ้นพร้อมกลายเป็นช่อผล ส่วนของใบเจริญและแผ่ขยายออก ตามมาด้วยตาดอกของชุดต่อไปในระดับล่างลงมา

ผลราสป์เบอร์รี่เป็นแบบผลกลุ่ม แต่ละผลเกิดจากดอกเดียวแต่มีหลายคาร์เพล (Carpel) แต่ละคาร์เพลแยกจากกันและเจริญไปเป็นผลย่อย ผลมีทั้งรูปกลม รูปกรวย และคล้ายรูปหัวใจ มีขนเล็ก ๆ หรือไม่มี ผลอ่อนสีขาว เมื่อสุกเปลี่ยนสีตามสายพันธุ์ เช่น แดง ชมพู เหลือง ส้ม ม่วง เป็นต้น สามารถแยกจากฐานรองดอกได้เมื่อสุกเต็มที่ เนื้อนิ่มฉ่ำน้ำ รสชาติหวานหรือเปรี้ยว มีกลิ่นหอม ขยายพันธุ์ง่ายด้วยการใช้หน่อที่แทงขึ้นมาในแต่ละปี ผลราสป์เบอร์รี่นิยมรับประทานสดแบบผลไม้ทั่วไป ใช้ทำเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้ แยม ซอส และแอลกอฮอล์ หรือเก็บเป็นผลไม้แช่แข็ง

ปัจจุบันมีการทดสอบและคัดเลือกพันธุ์ปลูกที่แข็งแรงทนทาน และไม่ต้องการความหนาวเย็นมากเพื่อกระตุ้นให้ออกดอกติดผล ซึ่งมีหลายพันธุ์ที่สามารถปลูกและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี จึงได้รับความสนใจปลูกกันมากขึ้นในบ้านเรา

 

เลือกปลูกพันธุ์ดี

ราสป์เบอร์รี่ที่เหมาะปลูกในประเทศไทย จัดอยู่ในประเภท Autumn-bearing Raspberries หรือ Ever-bearing Raspberries เป็นสายพันธุ์ที่สามารถให้ผลผลิตได้จากกิ่งอายุหนึ่งปี (Primocane) ไม่ต้องการความหนาวเย็นเพื่อกระตุ้นในการออกดอกติดผล เมื่อต้นมีความแข็งแรงและสมบูรณ์จะเริ่มให้ผลผลิตได้หลังจากปลูกเพียง 3-4 เดือน ตัวอย่างเช่น

  • พันธุ์เฮอริเทจ (Heritage) ปลูกเลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตเร็ว และให้หน่อดก ผลรูปกลมขนาดใหญ่ เมื่อสุกสีแดงเข้ม รสชาติหวาน
  • ฮิมบีเรน (Himbeeren) ปลูกเลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตเร็ว และให้หน่อดก ผลรูปกลมถึงรูปกรวย เมื่อสุกสีแดง รสชาติหวาน และมีกลิ่นหอมมาก
  • คริมสันไจแอนท์ (Crimson Giant) ปลูกเลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตเร็ว และให้หน่อดก ผลรูปกลมถึงรูปกรวยขนาดใหญ่ ให้ผลดก เมื่อสุกสีแดง รสชาติหวาน และมีกลิ่นหอม
  • แคโรไลน์ (Caroline) ปลูกเลี้ยงง่าย โตเร็ว แข็งแรง ทนร้อนได้ดี และให้หน่อดก ผลรูปกรวย เมื่อสุกสีแดง รสชาติหวาน เนื้อแน่น และมีกลิ่นหอม
  • ออทั่มเทรเชอร์ (Autumn Treasure) ไม่มีหนาม ให้หน่อดก ทนต่อโรคราแป้งและโรครากเน่า ผลรูปกรวยขนาดใหญ่ ให้ผลดก เมื่อสุกสีชมพูอมแดง รสชาติหวานมากแทบไม่ติดเปรี้ยว เนื้อแน่น เก็บเกี่ยวง่าย
  • ดับเบิ้ลโกลด์ (Double Gold) ปลูกเลี้ยงง่าย โตเร็ว แข็งแรง และให้หน่อดก ผลรูปกรวยค่อนข้างใหญ่ เมื่อสุกสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานแทบไม่ติดเปรี้ยว เนื้อแน่น ผิวสัมผัสคล้ายเยลลี่และมีกลิ่นหอม
  • แอนเน่ (Anne) ปลูกเลี้ยงค่อนข้างง่าย ทนร้อนได้ดี แต่ให้หน่อน้อย ผลรูปกรวยขนาดใหญ่ ให้ผลดก เมื่อสุกสีเหลือง รสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อแน่น

เตรียมดินปลูกดี

หัวใจสำคัญของการปลูกราสป์เบอร์รี่คือ ดินหรือวัสดุปลูก ควรมีความโปร่ง ร่วนซุย ไม่อัดตัวแน่น มีอินทรียวัตถุสูง ปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืช สามารถระบายน้ำและอากาศได้ดี ไม่ขังแฉะ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ระบบรากฝอยเสียหาย ผู้ปลูกสามารถผสมวัสดุปลูกเองได้ง่าย ๆ โดยใช้กาบมะพร้าวสับ 1 ส่วน + ขุยมะพร้าว 1 ส่วน + เวอร์มิคูไลท์ ½ ส่วน + เพอร์ไลท์ ½ ส่วน + ปุ๋ยละลายช้าหรือปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด 1 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากัน นำไปปลูกเบอร์รี่ได้

การปลูกราสป์เบอร์รี่ในกระถาง เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับมือใหม่ รวมถึงผู้ที่มีพื้นที่จำกัด โดยใช้กระถาง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 นิ้วขึ้นไป

 

ใส่ปุ๋ยบำรุงสม่ำเสมอ

ราสป์เบอร์รี่ชอบแสงแดด แต่ไม่ชอบความร้อน จึงควรพรางแสงเพื่อป้องกันไม่ให้ต้นได้รับความร้อนจากแสงแดดโดยตรง เพราะนอกจากทำให้ต้นและใบเหี่ยวหรือมีอาการไหม้แดดแล้ว ยังอาจทำให้ผลมีอาการสุกแดด เกิดความเสียหายและผลผลิตไม่ได้คุณภาพ

น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง ไม่ชอบดินแฉะหรือมีน้ำขัง เพราะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการรากเน่าได้ เทคนิคให้น้ำคือดูสภาพดินเป็นหลัก หากหน้าดินแห้งจึงค่อยรดน้ำ

ราสป์เบอร์รี่เป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารมาก โดยเฉพาะไนโตรเจนสำหรับการผลิตลำต้น และโพแทสเซียมสำหรับการผลิตผล การให้ปุ๋ยจึงแบ่งเป็นช่วง คือ

ช่วงบำรุงต้น ใส่ปุ๋ยคอก ทุก 7-10 วัน

ช่วงออกดอกติดผล ใส่ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 ร่วมกับฉีดพ่นธาตุอาหารรองกลุ่มแคลเซียม-โบรอน และฮอร์โมนพืช เช่น น้ำหมักไข่ น้ำหมักปลา ในช่วงเช้า ทุก 10-15 วัน

 

Tips

  • ต้นจะให้ผลผลิตดีและมีขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่กับการใส่ปุ๋ยบำรุงเพิ่มธาตุอาหาร
  • หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จต้องตัดลำต้นเก่าทันที เพื่อให้ลำต้นใหม่เกิดขึ้นมาสำหรับให้ผลผลิตในปีต่อไป หากไม่ตัดจะทำให้ต้นโทรมและอาจตายในที่สุด
  • การตัดลำต้นเก่าออกช่วยให้ต้นที่ปลูกในภาชนะมีอายุเก็บเกี่ยวได้นาน 3-5 ปีเลยทีเดียว

.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
9 พืชเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
12 พรรณไม้กลิ่นอายเมดิเตอร์เรเนียน
4 แนวทางการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ

ติดตามหนังสือใหม่ๆ ได้ทาง : สำนักพิมพ์บ้านและสวน